[FEATURE] เปิด 9 สถิติสุดบู่ของ ลิเวอร์พูล กับเหตุผลที่ว่าทำไม คล็อปป์ ถึงยกธงขาวเสียแล้ว
ในบทสัมภาษณ์หลังเกมที่ ลิเวอร์พูล บุกไปพ่าย เลสเตอร์ ซิตี้ เยอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมได้ยอมรับว่าโอกาสในการไล่ตาม แมนฯ ซิตี้ คงเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะจนถึงปัจจุบันแชมป์เก่าถูกทิ้งห่างไปถึง 13 คะแนน แถมยังแข่งมากกว่าอยู่ 1 นัด เรามาย้อนดูสถิติของพวกเขาในฤดูกาลนี้ ที่เป็นต้นตอของปัญหาและความล้มเหลวที่เกิดขึ้นแก่ 'หงส์แดง' กัน
1. แต้มหล่นหายไปมากที่สุดสำหรับแชมป์เก่า
เมื่อเทียบผลงานหลังผ่านไป 24 นัดของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้และฤดูกาลก่อนจะพบว่าพวกเขาทำแต้มหล่นหายไปมากถึง 30 แต้ม ซึ่งนับว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมแชมป์เก่าแล้ว
2. แพ้-แพ้ -แพ้
นับเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ของ คล็อปป์ ที่เขาพาทีมแพ้ถึง 3 เกมติดกัน ทั้งๆที่เมื่อรับช่วงต่อมาจาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้เล่นในทีมยังไม่สามารถเทียบกับชุดนี้ได้เลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้โปรแกรมนัดต่อไปพวกเขาจะต้องพบกับ ไลป์ซิก ที่ฟอร์มเรียกได้ว่าร้อนแรงไม่เบาเลย ก่อนจะตามมาด้วย เอฟเวอร์ตัน ที่คาดเดาอะไรไม่ได้อีกเช่นกัน ไม่แน่ คล็อปป์ อาจจะสร้างสถิติใหม่ให้ตัวเองอีกก็เป็นได้
3. มนต์ขลังที่หายไปของ แอนฟิลด์
นับตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2017 ที่ ลิเวอร์พูล แพ้ คริสตัล พาเลซ คาบ้าน พวกเขาก็ไม่แพ้ใครอีกเลยมาเกือบ 70 นัด ก่อนที่จะโดน เบิร์นลีย์ บุกมาเก็บ 3 แต้มได้ถึงถิ่นจนช็อิคกันทั้งบาง ทว่าช็อคได้ไม่นานก็กลายเป็นชิน(ชา)เพราะอีก 2 นัดเหย้าในบ้าน หงส์แดงก็แพ้รวด แถมโดนซัดไปเละทะถึง 6 ประตู โดยที่ยิงคืนได้ลูกเดียวจากจุดโทษของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์
4. แนวรุกฟอร์มรูด
ประตูของ ซาดิโอ มาเน ในนาทีที่ 12 กับ เวสต์บรอม เมื่อปลายเดือนธันวาคม ห่างจากลูกยิงเบิกร่องของ โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน ในเกมเอาชนะ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ในอีก 1 เดือนต่อมาถึง 482 นาที และต้องใช้โอกาสยิงมากถึง 93 ครั้งระหว่างนั้น ทั้งๆที่เหล่า 3 ประสานของ ลิเวอร์พูล ถูกขนานนนามว่าเป็นชุดแนวรุกที่อันตรายมากที่สุดชุดหนึ่งของ ยุโรป แท้ๆ
5. พลิกมาแพ้ทั้งๆที่ได้ประตูนำไปก่อน
หงส์แดง ไม่เคยแพ้เลยแม้แต่หนเดียวนับตั้งแต่ต้นปี 2017 จากการออกนำคู่แข่งไปก่อน ทว่าในเกมกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ลิเวอร์พูล โดนยิงคืนถึง 3 เม็ดรวดในช่วงท้ายเกมทั้งๆที่ ซาลาห์ ช่วยยิงให้ทีมได้ออกนำไปก่อนแท้ๆ
6. อลิสซอน รั่วผิดวิสัย
ใน 2 เกมหลัง อลิสซอน ทำพลาดจนเสียประตูถึง 3 ลูก(รวมตั้งแต่ย้ายมา 7 ลูก) ซึ่งเมื่อเทียบกับ เกป้า ของ เชลซี ที่มักจะถูกเอามาล้ออยู่บ่อยๆจะพบว่ามือกาวชาว สเปน ทำพลาดจนถึงแก่ประตูไป 3 ครั้งเท่ากันนับตั้งแต่ย้ายมายัง ลอนดอน ด้วยค่าตัวสถิติโลก
7. เปลี่ยนกองหลังไม่ซ้ำหน้า
นับตั้งแต่ที่ เวอร์จิล ฟาน ไดจค์ บาดเจ็บไปเมื่อต้นฤดูกาล เยอร์เก้น คล็อปป์ ยังไม่สามารถหาคู่หูเซ็นเตอร์แบ็คที่ลงตัวและยั่งยืนได้เลย โดยในฤดูกาลนี้เขาเปลี่ยนกองหลังไปมากถึง 13 ชุดด้วยกัน ซึ่งส่วนมากก็เกิดจากอาการบาดเจ็บที่มีมาอย่างไม่หยุดหย่อน และแน่นอนว่าในขณะที่ เบน เดวีส์ ยังไม่ได้ประเดิมสนามเลยแม้แต่นาทีเดียว จำนวนคงจะไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่ 13 อย่างแน่นอน
มาติป - ฟาบินโญ (6 นัด)
แนธ ฟิลลิป์ - ฟาบินโญ (3 นัด)
ฟาบินโญ - เฮนเดอร์สัน (3 นัด)
แนธ ฟิลลิปส์ - เฮนเดอร์สัน (3 นัด)
ฟาน ไดจค์ - โจ โกเมซ (3 นัด)
โจ โกเมซ - มาติป (2 นัด)
ฟาน ไดจค์ - ฟาบินโญ (1 นัด)
โจ โกเมซ - ฟาบินโญ (1 นัด)
โจ โกเมซ - แนธ ฟิลลิปส์ (1นัด)
มาติป - เฮนเดอร์สัน (1 นัด)
วิลเลียมส์ - ฟาบินโญ (1 นัด)
คาบัค - เฮนเดอร์สัน (1 นัด)
ฟาน ไดจค์ - มาติป (11 นาที)
8. เครื่องร้อนช้า
หนึ่งในเอกลักษณ์ของ คล็อปป์ คือการเปิดเกมได้ไว โดยใรปีที่แล้ว ลิเวอร์พูล ยิงประตูได้ในครึ่งแรกมากกว่าทุกทีมใน พรีเมียร์ลีก ทว่าเมื่อเข้าสู่ปี 2021 มีเพียง เบิร์นลีย์ เท่านั้นที่ทำประตูในครึ่งแรกได้น้อยกว่าพวกเขา (เบิร์นลีย์ : 0, ลิเวอร์พูล : 1)
9. ติอาโก้ ตัวนำโชค(ร้าย)
ตอนที่ ลิเวอร์พูล ประกาศคว้าตัว ติอาโก้ มาจาก บาเยิร์น มิวนิค ทุกคนคาดการณ์กันว่า แชมเปี้ยนแห่งเกาะ อังกฤษ ได้ยกระดับทีมตัวตัวเองขึ้นไปอีกขั้นเพราะแข้งชาว สเปน เป็นตัวหลักช่วยพา เสือใต้ คว้าถ้วยรางวัลได้เป็นว่าเล่น ซึ่งรวมไปถึงทริปเปิ้ลแชมป์ในฤดูกาลที่ผ่านมาด้วย ทว่าที่ แอนฟิลด์ เขากลับเป็นเสมือนตัวโชคร้ายของทีม จากการลงสนามไป 9 นัด ต้นสังกัดแพ้ไปถึง 5 เกม และเก็บชัยไปได้แค่ 2 เกมเท่านั้น
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด