สเปน เจ้าแห่งการครองบอลมีอนาคตสดใสรออยู่ - OPINION
แม้จะชวดผ่านเข้าชิง ยูโร 2020 เพื่อไปลุ้นคว้าแชมป์เจ้ายุโรปเป็นสมัยที่ 4 แบบน่าเสียดายเหลือเกิน เพราะจอดป้ายเพียงรอบรองชนะเลิศจากการพลาดท่าแพ้ "อัซซูรี่" อิตาลี ในช่วงดวลจุดโทษตัดสิน หลังเสมอจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษครบ 120 นาที 1-1 แต่ถือได้ว่าทัพลูกหนัง "กระทิงดุ" สเปน ทำผลงานได้น่าประทับใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ไม่ได้รับการยกย่องให้เป็นทีมเต็งในอันดับต้นๆ เสียด้วยซ้ำ แต่สามารถทะลุผ่านเข้ามาถึงรอบตัดเชือกได้แบบไกลเกินคาด
หากดูจากสภาพทีมในยุคปัจจุบันต้องบอกว่า สเปน ยังคงอยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายเลือดใหม่ เนื่องจากกุนซือ หลุยส์ เอ็นริเก้ ได้เลือกใช้บริการของพวกนักเตะรุ่นใหม่ที่เพิ่งผ่านประสบการณ์ในเกมระดับชาติไม่มากนัก และมีแค่ เซร์คิโอ บุสเกสต์ กองกลางกัปตันทีมตัวเก่งที่เคยผ่านการรับใช้เกิน 100 เกมเพียงคนเดียวเลย แม้จะสามารถเรียกตัวผู้เล่นได้ตามโควตาทั้งหมด 26 คน แต่กลับเรียกตัวมาเพียง 24 คน ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ยืนยันจะใช้งานเพียงแค่นี้เท่านั้น และได้ตัดสินใจตัดชื่อของ เซร์คิโอ รามอส กองหลังจอมเก๋าออกไปด้วย เพราะมีปัญหาเรื่องสภาพร่างกายที่ไม่ฟิตสมบูรณ์แบบเต็มร้อย จึงเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ของทัพลูกหนัง "กระทิงดุ" ที่ไม่มีรายชื่อของนักเตะ เรอัล มาดริด ติดโผรับใช้บ้านเกิดในทัวร์นาเมนต์ใหญ่แม้แต่รายเดียว
ทั้งนี้ สเปน ถูกจับสลากให้อยู่ในกลุ่ม อี ร่วมสายเดียวกับ สวีเดน, โปแลนด์ รวมถึง สโลวะเกีย และได้รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพร่วมในศึกยูโร 2020 จึงได้ลงเล่นรอบแบ่งกลุ่มบนแผ่นดินของตัวเองที่เอสตาดิโอ ลา คาร์ตูฆ่า ในเมืองเซบีญ่า ทั้ง 3 เกมเลย แต่เริ่มต้นออกสตาร์ทใน 2 นัดแรกได้แบบน่าผิดหวัง เพราะทำได้เพียงแค่เสมอ สวีเดน 0-0 และเสมอ โปแลนด์ 1-1 ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายครองบอลได้เหนือกว่าทีมคู่แข่งทั้ง 2 นัดเลย และมีจังหวะลุ้นยิงประตูได้หลายครั้งด้วย แต่กลับมีปัญหาเรื่องของการจบสกอร์ที่ใช้โอกาสเปลืองมากๆ แม้แต่ลูกจุดโทษยังยิงไม่เข้าถึง 2 ลูกเลยด้วย
ทว่า สเปน ยังสามารถเอาตัวรอดได้ในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม เพราะเป็นฝ่ายไล่ถล่ม สโลวะเกีย 5-0 จึงได้ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะรองแชมป์กลุ่มตามหลัง สวีเดน ไปแบบติดๆ และได้ไปเผชิญหน้ากับ โครเอเชีย ทีมรองแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 ซึ่งต้องออกแรงเล่นเหนื่อยจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษครบ 120 นาที จึงจะเป็นฝ่ายชนะ 5-3 หลังเสมอในช่วง 90 นาทีไปแบบสุดมันส์ 3-3 ส่วนในรอบ 8 ทีมสุดท้ายยังคงต้องออกแรงเล่นเกิน 120 นาทีเลยด้วย เพราะต้องใช้ช่วงดวลจุดโทษตัดสินเพื่อเฉือนชนะ สวิตเซอร์แลนด์ นั่นเอง หลังเสมอจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-1 ก่อนจะแพ้ช่วงดวลจุดโทษให้กับ อิตาลี จึงต้องยุติเส้นทางเอาไว้เพียงรอบตัดเชือกเท่านั้น โดยยังคงเป็นอดีตแชมป์ 3 สมัยจากตอนที่ยึดบัลลังก์เจ้ายุโรปในศึกยูโร 1964, ยูโร 2008 และยูโร 2012 เหมือนเช่นเดิม
สำหรับจุดเด่นของทัพลูกหนัง "กระทิงดุ" ในศึกยูโร 2020 ก็คือการครองบอลได้อย่างเหนียวแน่น และมีเปอร์เซ็นต์การครองบอลเหนือกว่าทีมคู่แข่งในทุกๆ เกมด้วยค่าเฉลี่ยสูงถึง 66.8% โดยเฉพาะในรอบรองชนะเลิศที่ครองบอลได้เหนือกว่า อิตาลี ด้วยตัวเลขมากถึง 65% เลยทีเดียว ส่วนปัญหาหลักของ สเปน ในยุคปัจจุบันก็คือใช้โอกาสจบสกอร์ได้เปลืองมากๆ แม้จะยิงประตูในทัวร์นาเมนต์นี้ได้มากถึง 13 ลูก แต่มีสถิติลุ้นยิงประตูจากการลงสนามทั้ง 6 เกมรวมกันมากถึง 111 ครั้ง ทำให้ อัลบาโร่ โมราต้า กองหน้าตัวหลักถูกวิจารณ์ว่าไม่คมเอาเสียเลย ทั้งๆ ที่ยิงประตูได้ทั้งหมด 3 ลูก แต่ถ้าเทียบกับโอกาสที่ได้ลุ้นสอยตาข่ายแบบเต็มไปหมด และสังหารจุดโทษพลาดไปหนึ่งลูกด้วย จึงควรจะจบสกอร์ได้มากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ
แต่ถือว่า สเปน ยังมีอนาคตที่สดใสรออยู่ในวันข้างหน้า เพราะสามารถปลุกปั้นพวกนักเตะสายเลือดใหม่ให้ก้าวเท้าขึ้นมาแจ้งเกิดในเกมระดับชาติได้หลายคนเลย โดยเฉพาะ เปดรี้ กองกลางดาวรุ่งพุ่งแรงที่สามารถแจ้งเกิดในศึกยูโร 2020 ได้แบบเต็มตัว แม้จะเพิ่งมีอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น แต่ได้รับความไว้วางใจให้ยึดตำแหน่งตัวจริงในแผงมิดฟิลด์เรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับ เฟร์ราน ตอร์เรส กับ ดานี่ โอลโม่ ซึ่งเป็นปีกริมเส้นตัวจัดจ้านที่เติมเกมรุกได้อย่างโดดเด่นทั้งสองฝั่งเลย
หาก สเปน สามารถฉกฉวยโอกาสจากการครองบอลให้เป็นประโยชน์กับทีมได้มากกว่านี้ และปรับเรื่องของการจบสกอร์ให้เฉียบคมได้มากกว่าเดิม เชื่อได้เลยว่าทัพลูกหนัง "กระทิงดุ" จะกลับมาลุ้นความสำเร็จเหมือนอย่างเมื่อครั้งวันวานได้อีกครั้งแน่ๆ
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด