ซามพ์โดเรีย คอนเน็คชั่น เบี้องหลังความสำเร็จของ อิตาลี - FEATURE

Italy v England - UEFA Euro 2020: Final
Italy v England - UEFA Euro 2020: Final / Claudio Villa/Getty Images
facebooktwitterreddit

นอกจากเรื่องของฝีเท้าที่ยอดเยี่ยม รวมถึงเรื่องของ "สปิริต" จากความสมัครสมานสามัคคีภายในทีมที่ดีมากๆ ดูได้จากตอนตั้งแถวยืนร้องเพลงชาติในช่วงก่อนเริ่มเกมการแข่งขัน โดยนักเตะทุกคนจะพร้อมใจกันตะโกนแหกปากร้องเพลงเสียงดังสนั่นทุ่งกันจนแสบแก้วหูกันเลยทีเดียว แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่เบี้องหลังความสำเร็จของทัพลูกหนัง "อัซซูรี่" อิตาลี ชุดแชมป์ ยูโร 2020 นั่นก็คือ ทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ชที่มาจากสายสัมพันธ์ของ "ซามพ์โดเรีย คอนเน็คชั่น" โดยมีกุนซือ "มันโช่" โรแบร์โต้ มันชินี่ เป็นโต้โผตั้งแต่สมัยที่เคยค้าแข้งร่วมทีมต้นสังกัดเดียวกันมาก่อน จึงสามารถทำงานได้แบบเข้าขารู้ใจกันเป็นอย่างมาก

Roberto Mancini, Giorgio Chiellini
Italy Travel Back to Rome / Claudio Villa/Getty Images

ย้อนหลังกลับไปในช่วงกลางทศวรรษ 80 ถือว่าเป็นช่วงเริ่มต้น "ยุคทอง" ของ ซามพ์โดเรีย เลยก็ว่าได้ นับตั้งแต่เริ่มก่อนตั้งสโมสรในปี 1946 ซึ่งตอนนั้นได้เริ่มก้าวเท้าขึ้นมาเป็นหนึ่งในทีมหัวแถวของวงการฟุตบอลอิตาลี หลังเลื่อนชั้นจากซีรีส์ บี กลับมาอยู่บนลีกสูงสุดของประเทศในปี 1982 และได้กุนซือฝีมือดีที่มีนามว่า วูยาดิน บอสคอฟ เข้ามาช่วยปลุกปั้นทีมในปี 1986 อีกด้วย โดยตำนานกุนซือผู้ล่วงลับเคยสร้างชื่อจากงานคุมทีมชาติยูโกสลาเวีย ในปัจจุบันคือประเทศเซอร์เบีย รวมถึง เรอัล มาดริด มาก่อนด้วย

Attiglio Lombardo, Moreno Mannini, Toninho Cerezo, Giuseppe Dossena, Pietro Vierchowod, Gialuca Vialli, Gianluca Pagliuca, Marco Lanna, Dario Bonetti, Srecko Katanec, Renato Buso, Ivano Bonetti, Giulio Nuciari, Paulo Silas, Fausto Pari, Giovanni Invernizzi, Narciso Pezzotti, ujadin Boškov head coach, Roberto Mancini, Alessandro Orlando, Giorgio Zanutta
AS Photo Archive / Alessandro Sabattini/Getty Images

ทั้งนี้ บอสคอฟ ได้ลงมือสร้างทีมในยุคนั้นด้วยการให้กลุ่มนักเตะหนุ่มชาวอิตาเลียนเป็นแกนหลัก ไม่ว่าจะเป็น ยูลิโอ นูชารี่ ผู้รักษาประตูตัวสำรอง, ฟาอุสโต้ ซัลซาโน่ ในตำแหน่งกองกลาง, อัตติลิโอ ลอมบาร์โด้ อดีตปีกขวาจอมพลิ้ว รวมถึง 2 คู่หูกองหน้า นั่นก็คือ จานลูก้า วิอัลลี่ กับ โรแบร์โต้ มันชินี่ ซึ่งมีอายุอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน และได้ต่อยอดมาสู่การเป็นสต๊าฟฟ์โค้ชทีมชาติอิตาลีในยุคปัจจุบันนั่นเอง โดยตอนสมัยที่ทั้ง 5 คนดังกล่าวยังค้าแข้งอยู่ได้ช่วยกันนำทัพลูกหนัง "ลา ซามพ์" ประสบความสำเร็จสูงสุดจากการคว้าแชมป์กัลโช เซเรีย อา ในฤดูกาล 1990/1991 ซึ่งเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวของสโมสรจนถึงตอนนี้เลยด้วย และเคยได้แชมป์โคปปา อิตาเลีย อีกถึง 4 สมัย ซึ่งเกิดขึ้นในยุคนั้นทั้งหมดเลย

Gianluca Vialli, Roberto Mancini
จานลูก้า วิอัลลี่-โรแบร์โต้ มันชินี่ / Alessandro Sabattini/Getty Images

สำหรับเรื่องความสำเร็จของ ซามพ์โดเรีย ในยุคนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่บนดินแดนเมืองมะกะโรนีเพียงอย่างเดียว แต่ได้ต่อยอดไปสู่เกมฟาดแข้งในระดับทวีปด้วย เพราะเคยคว้าแชมป์สโมสรยุโรปได้หนึ่งรายการ นั่นก็คือ ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ คัพ ในปี 1990 ซึ่งจะให้ทีมแชมป์ฟุตบอลถ้วยของประเทศต่างๆ มาชิงชัยกัน แต่ได้ยุบการแข่งขันไปแล้วตั้งแต่ปี 1999 และเคยผ่านเข้าถึงนัดชิง "เจ้ายุโรป" ในศึกยูโรเปี้ยน คัพ หรือที่เปลี่ยนชื่อมาเป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปัจจุบันได้อีกหนึ่งครั้งเมื่อปี 1992 แต่น่าเสียดายที่ทำได้ที่สุดเพียงรองแชมป์ เพราะพลาดท่าแพ้ "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า 0-1 นั่นเอง

Stefano Sacchetti, Desmont Walker, Mauro Bertarelli, Gialuca Pagliuca, Srecko Katanec, Attglio Lombardo, Vano Bonetti, Vladimir Jugovic, Moreno Mannini, Pietro Virchowod, Roberto Mancini
AS Photo Archive / Alessandro Sabattini/Getty Images

เมื่อเข้าสู่ฤดูกาล 1992/1993 "ลา ซามพ์" ได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่าง เนื่องจากกุนซือ บอสคอฟ ได้ขอลาออกไปคุมทัพ โรม่า ส่วนในรายของ วิอัลลี่ ซึ่งเป็นกองหน้าฝีเท้าระดับพระกาฬในยุคนั้นได้ย้ายไปค้าแข้งกับ ยูเวนตุส ด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลกในยุคนั้นสูงถึง 12.5 ล้านยูโร ซึ่งสวนทางกับ อัลเบริโก้ เอวานี่ กองกลางที่ย้ายจาก เอซี มิลาน มาเป็นเพื่อนร่วมทีมเดียวกับ มันชินี่ ในปี 1993 แม้จะแต่งตั้ง สเวน โกรัน อิริคส์สัน โค้ชฝีมือดีชาวสวีดิชให้เข้ามารับงานคุมทีมต่อเลย แต่ก็ไม่ได้พบกับความสำเร็จเหมือนอย่างเมื่อก่อน และต้องพบกับช่วงเวลาแห่งความตกต่ำ เพราะประสบปัญหาเรื่องการเงิน จึงต้องค่อยๆ ทะยอยขายนักเตะออกไป ซึ่งรวมถึง "มันโช่" ที่ย้ายไปซบ ลาซิโอ ในปี 1997 ก่อนจะกระเด็นตกชั้นในปี 1999 จึงถือว่าสิ้นสุด "ยุคทอง" ไปโดยปริยาย

FBL-ENG-PR-MANCITY-QPR
FBL-ENG-PR-MANCITY-QPR / PAUL ELLIS/Getty Images

ในช่วงหลังเลิกเล่นฟุตบอลของทั้ง 5 คนดังกล่าวได้หันไปรับงานเป็นโค้ช แต่มีเพียงแค่ มันชินี่ ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด เช่นเดียวกับ ซัลซาโน่ ซึ่งได้ร่วมงานกันในฐานะ "มือขวา" จากการสวมบทเป็นผู้ช่วยของ "มันโช่" แบบที่ตามไปทุกทีมเลยด้วย โดยเคยผ่านงานคุมทีมระดับสโมสรชั้นนำในทวีปยุโรปมาแบบโชกโชนเลย ไล่ตั้งแต่ 3 ทีมหัวแถวในบ้านเกิด นั่นก็คือ ฟิออเรนติน่า, ลาซิโอ รวมถึง อินเตอร์ มิลาน และได้ย้ายไปจารึกชื่อเป็นกุนซือคนแรกที่นำทัพ แมนฯ ซิตี้ เข้าป้ายแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในปี 2012 นอกจากนี้ยังเคยคุมทีม กาลาตาซาราย ในตุรกี รวมถึง เซนิท เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ในรัสเซียมาก่อนด้วย

Roberto Mancini, Gianluca Vialli, Alberigo Evani, Gabriele Oriali
Turkey v Italy - UEFA Euro 2020: Group A / Claudio Villa/Getty Images

หลังจากที่ทัพลูกหนัง "อัซซูรี่" ไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายในศึกฟุตบอลโลก 2018 ทำให้ สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี เลือกที่จะไว้วางใจในฝีมือของ มันชินี่ จึงได้แต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นกุนซือคนใหม่ และก็ไม่มิตรสหายเมื่อตอนค้าแข้งในสังกัดเดียวกัน เพราะได้ดึงอดีตเพื่อนร่วมทีม "ลา ซามพ์" ให้เข้ามาช่วยงานถึง 5 คนเลยด้วย ไล่ตั้งแต่ ซัลซาโน่ มือขวาคนรู้ใจ, นูชารี่, ลอมบาร์โด้ เคยร่วมงาโค้ชตอนที่คุมทัพ แมนฯ ซิตี้ และ เอวานี่ ซึ่งดูแลทีมชาติในระดับเยาวชนมาตั้งแต่ปี 2010 ให้เข้ามารับงานเป็นผู้ช่วยในด้านต่างๆ ส่วน วิอัลลี่ ได้สวมบทเป็นหัวหน้าคณะผู้แทน เพื่อทำหน้าที่ประสานงานในเรื่องต่างๆ หลังหายป่วยจากโรคมะเร็งตับอ่อนเรียบร้อยแล้ว

FBL-EURO-2020-2021-ITALY
FBL-EURO-2020-2021-ITALY / TIZIANA FABI/Getty Images

จึงถือได้ว่า "ซามพ์โดเรีย คอนเน็คชั่น" คืออีกหนึ่งเบี้องหลังความสำเร็จของทัพลูกหนัง "อัซซูรี่" อิตาลี ชุดแชมป์ยูโร 2020 ได้เหมือนกัน หลังจากที่ทีมงานของ มันชินี่ ภายใต้เสื้อสูทสีเทาสุดเนี๊ยบได้ช่วยกันทำงานมานานกว่า 3 ปี เพื่อกอบกู้ทีมบ้านเกิดให้กลับมาอยู่ในระดับหัวแถวของวงการลูกหนังโลกได้อีกครั้ง

สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด