ไมเคิล คาร์ริค ผู้ปิดทองหลังพระที่อยู่เบื้องหลังแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยที่ 20 ของ แมนยู - FEATURE

Manchester United v Aston Villa - Premier League
Manchester United v Aston Villa - Premier League / Alex Livesey/GettyImages
facebooktwitterreddit

หากจะให้สรุปอาชีพการค้าแข้งของ ไมเคิล คาร์ริค กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สั้นๆ มันคงจะหนีไม่พ้นคำว่า 'ถูกมองข้าม'

แม้จะคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้ตลอดสามฤดูกาลแรกของเขานับตั้งแต่ย้ายมาจาก ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ แต่นั่นก็ยังไม่พอที่จะทำให้เขาถูกมองว่าดีพอสำหรับสโมสรแห่งนี้อยู่ดี

เขาไม่ใช่มิดฟิลด์ที่ระห่ำทะลุจุดเดือดอย่าง ไบรอัน ร็อบสัน, พอล อินซ์ หรือรอย คีน และความพ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2009 ก็ยิ่งทำให้เสียงวิจารณ์ของเขาดังขึ้นยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

คาร์ริค ทำพลาดเสียบอลตั้งแต่ต้นเกมจนเป็นเหตุให้ เอโต้ ยิงให้ บาร์เซโลนา ออกนำไปก่อนได้

"มันเป็นช่วงที่แย่ที่สุดในอาชีพของผมเลย ทั้งๆที่ผมเพิ่งคว้าแชมป์รายการนี้มาเมื่อปีก่อนด้วยซ้ำ แต่ผมรู้สึกว่าผมทำให้ตัวเองผิดหวังในเกมที่สำคัญที่สุดเกมหนึ่ง" เขายอมรับกับ เดอะ ไทม์ส เมื่อปี 2018

"ผมรู้สึกหดหู่เหมือนมีอาการซึมเศร้าโดยที่ไม่สามารสลัดมันออกจากหัวได้เลย"

"ผมทำร้ายตัวเองด้วยความที่ว่าทำไมถึงพลาดแบบนั้นได้อยู่ตลอด"

คาร์ริค ฟอร์มดร็อปลงมาอย่างเห็นได้ชัดในฤดูกาล 2009/10 และยอมรับว่าไม่ค่อยสุขใจนักกับการรับใช้ชาติในศึก ฟุตบอลโลก 2010

เขาเริ่มกลับมาเข้าฝักอีกครั้งในปี 2011 แต่ก็ยังไม่ได้ติดทีมชาติไปเล่นใน ยูโร 2012 - และอย่างที่รู้กัน กองกลางของทัพ สิงโตคำราม อย่าง เจอร์ราร์ด และ สก็อตต์ พาร์คเกอร์ โดน อิตาลี เล่นงานเสียยับเยิน

การที่เขาไม่ได้ไปรับใช้ชาติทำให้ คาร์ริค ฟิตยิ่งกว่าที่เคยสำหรับฤดูกาล 2012/13 เขาจำต้องถอยลงมาเล่นเป็นเซ็นเตอร์ในสองเกมแรกเพราะปัญหาอาการบาดเจ็บ แต่หลังจากได้กลับมาเล่นในตำแหน่งที่ถนัดกับ เซาแธมป์ตัน เขาก็ช่วยให้ทีมคว้าชัย 3-2 ด้วยฟอร์มที่สุดจัดเสียเหลือเกินจากการคอยปัดกวาดหน้าแผงกองหลังและแจกจ่ายบอลไปข้างหน้าอย่างแม่นยำเพื่อควบคุมจังหวะของเกมเอาไว้ที่ตัวเอง

การมาถึงของ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ อาจจะฝากความประทับใจไว้ไม่น้อยแต่ฟอร์มการเล่นของ คาร์ริค ในปีนั้นทำให้แฟนๆและนักวิจารณ์เริ่มเห็นแล้วว่าแท้จริง คาร์ริค มีบทบาทสำคัญมากเพียงใดกับทีมจนเป็นที่มาของประโยคเด็ดจากแฟนๆที่ว่า "นี่ คาร์ริค นะพวก ยากที่จะเชื่อจริงๆว่าไม่ใช่ สโคลส์"

“สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจเกี่ยวกับ คาร์ริค ก็คือเขามักจะพยายามจ่ายบอลไปข้างหน้าเสมอ ระยะการมองเห็นของเขาช่างกว้างไกลและเขาสามารถเปลี่ยนจังหวะการเล่นให้ทีมได้อยู่เสมอ” อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ระบุไว้ในอัตชีวประวัติของตัวเอง

ระหว่างเกมกับอดีตต้นสังกัดของเขาอย่าง เวสต์แฮม ในเดือนพฤศจิกายน 2012 เขาผ่านบอลตัดผ่านแนวรับของคู่แข่งเหมือนมีดร้อนผ่าเนยและแอสซิสต์ประตูชัยให้ ฟาน เพอร์ซี่

ก่อนที่จะตามมาติดๆด้วยหนึ่งในแอสซิสต์ที่งามที่สุดในฤดูกาลหลังเพิ่งจ่ายให้ ฟาน เพอร์ซี่ ยิงตีเสมอกับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ในวันบ็อกซิ่งเดย์

ขณะสกอร์ยังเสมอกันอยู่ 3-3 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ มิดฟิลด์รายนี้โยนบอลไปให้ ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ กระแทกมันเข้าประตูไปพร้อมคว้าสามแต้มสำคัญมาได้สำเร็จ

ไม่เลวเลยนะสำหรับผู้เล่นที่ถูกตราหน้าว่าเป็นจอมแปะบอล

หลังจากเกมที่พบกับ นิวคาสเซิล คาร์ริค แอสซิสต์อีกเลยจนถึงเดือนมีนาคม 2013 แต่การรอคอยสามเดือนนั้นคุ้มค่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ในการแข่งขัน เอฟเอ คัพ กับ เชลซี เขาเห็น เอร์นานเดซ จากหางตาและเลือกโยนบอลจากครึ่งสนามไปให้เจ้าถั่วน้อยโหม่งเข้าประตูไปอย่างสวยงาม

“ไมเคิล เป็นผู้เล่นที่ถูกประเมินฝีเท้าต่ำที่สุดลีก” ริโอ เฟอร์ดินานด์ กล่าวหลังเกม “ไม่มีใครสามารถจ่ายบอลได้เหมือนที่เขาทำกับประตูของ ฮาเวียร์ แต่ผมแน่ใจว่าไม่มีใครจะพูดถึงมัน"

กว่าที่ผู้คนจะเริ่มเห็นคุณค่าของเขาก็ต้องรอกันนานถึง 6 ปี นับตั้งแต่ที่เก็บกระเป๋าย้ายเข้ามาสู่รั้ว โอลด์ แทรฟฟอร์ด

คาร์ริค เป็นตัวจริงใน พรีเมียร์ลีก 34 เกมในฤดูกาลที่ต้นสังกัดของเขาคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 20 มาครองได้โดยมีเพียง ฟาน เพอร์ซี่ คนเดียวที่ลงเล่นมากกว่าเขา

ไม่น่าแปลกใจที่หัวหอกชาว ดัตช์ คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของ เซอร์ แม็ตต์ บัสบี้ แต่เพื่อนร่วมทีมของเขาทุกคนตระหนักถึงความสำคัญที่กองกลางผู้เงียบขรึมรายนี้ทำให้กับทีมเขาจึงได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมจากเสียงโหวตของผู้เล่น แมนฯ ยูไนเต็ด ทุกราย

เขายังได้รับเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA เป็นครั้งแรกและติดโผเข้าชิงผู้เล่นยอดเยี่ยมมาอย่างเหนือความคาดหมายอีกด้วย


สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น!*ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด