แมนฯ ยูไนเต็ด ใต้ร่มเงา แมนฯ ซิตี้ ในยุคหลัง เฟอร์กี้ - FEATURE
จากที่เคยเป็น "เบอร์หนึ่ง" ของเกาะอังกฤษ และเป็นทีมฟุตบอล "หมายเลขหนึ่ง" ของเมืองแมนเชสเตอร์ เพราะมีผลงานเหนือกว่า "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมคู่ปรับร่วมเมืองในศึก พรีเมียร์ลีก มาโดยตลอด โดยเฉพาะในยุคที่มี "เฟอร์กี้" เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำหน้าที่เป็นกุนซือในช่วงระหว่างปี 1986-2013 นั่นเอง แต่ตอนนี้ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับทำได้เพียงเดินตามหลังทีมคู่อริร่วมเมืองเดียวกัน ซึ่งกินเวลามานานถึง 8 ปีแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะได้หวนกลับคืนสู่จุดสูงสุดเหมือนอย่างวันวานได้เมื่อไรอีกด้วย
นับตั้งแต่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตัดสินใจ "รีไทร์" เพื่อปลดเกษียณจากงานคุมทีมลูกหนังเมื่อ 8 ปีก่อน หรือในช่วงหลังจากที่เคยแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อฤดูกาล 2012/2013 หลังจากนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่เคยได้สัมผัสแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีอีกเลย ซึ่งตรงกันข้ามกับ แมนฯ ซิตี้ ที่ได้มหาเศรษฐีจากดินแดนอาหรับมาช่วยลงทุนสร้างทีมแบบจริงจังตั้งแต่ปี 2009 จึงสามารถปลดแอกจากใต้ร่มเงาของทีมคู่ปรับร่วมเมืองเดียวกันได้สำเร็จ และขยับแซงหน้าขึ้นไปสถาปนาตัวเองเป็น "เบอร์หนึ่ง" ของวงการฟุตบอลอังกฤษได้สักพักใหญ่ๆ แล้วด้วย รวมถึงในช่วงฤดูกาล 2020/2021 ด้วยเช่นกัน
แม้จะมีการเปลี่ยนแปลง กุนซือ มาแล้วถึง 4 คน นับตั้งแต่ "เฟอร์กี้" ก้าวเท้าลงจากเก้าอี้นายใหญ่แห่งถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ในปี 2013 และมีการลงทุนซื้อผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาเสริมทัพแบบมากหน้าหลายตาเลยด้วย แต่หลังจากนั้น "ปีศาจแดง" ไม่เคยจบอันดับบนตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกเหนือกว่า แมนฯ ซิตี้ แม้แต่ฤดูกาลเดียว โดยสามารถไล่เรียงผลงานได้ดังต่อไปนี้เลย
เริ่มจากฤดูกาล 2013/2014 แมนฯ ยูไนเต็ด ได้แต่งตั้ง เดวิด มอยส์ อดีตกุนซือ เอฟเวอร์ตัน ให้เข้ามารับงานคุมทีมต่อจาก "เฟอร์กี้" ในฐานะทายาทจากที่เป็นชาวสกอตคนบ้านเดียวกัน ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ มีการเปลี่ยนแปลงตัวกุนซือจาก โรแบร์โต้ มันชินี่ มาเป็น มานูเอล เปเยกรินี โค้ชจอมเก๋าชาวชิลีด้วยเช่นกัน แต่กลายเป็นว่า "ปีศาจแดง" ต้องพบกับความล้มเหลวแบบสิ้นเชิง เพราะจบซีซั่นนั้นด้วยอันดับ 7 และไม่ได้โควตาไปเล่นศึกฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ทศวรรษ ซึ่งตรงกันข้ามกับ "เรือใบสีฟ้า" ที่เข้าป้ายแชมป์ไปครองนั่นเอง
ส่วนในช่วงฤดูกาล 2013/2014 "ปีศาจแดง" มีการเปลี่ยนตัวกุนซือมาเป็น หลุยส์ ฟาน กัล โค้ชจอมเก๋าชาวดัตช์ แม้ว่าตอนนั้น แมนฯ ซิตี้ จะสูญเสียตำแหน่ง "เบอร์หนึ่ง" ให้กับ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี เพราะจบด้วยอันดับ 2 ในฐานะรองแชมป์นั่นเอง แต่ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงตามหลังทีมคู่ปรับร่วมเมืองจากการจบด้วยอันดับ 4
ต่อมาในช่วงฤดูกาล 2015/2016 ซึ่งเป็นซีซั่นที่บรรดาทีมยักษ์ใหญ่ต่างพากันสะดุดขาตัวเองกันเป็นแถว จึงเป็นโอกาสให้ เลสเตอร์ ก้าวเท้าขึ้นไปผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้แบบช็อกโลก ทำห้ แมนฯ ซิตี้ ต้องจบด้วยอันดับ 4 ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงตามหลังจากการจบด้วยอันดับ 5 ทำให้ หลุยส์ ฟาน กัล โดนปลดจากตำแหน่งกุนซือไปด้วยเลย
ตามติดมาด้วยฤดูกาล 2016/2017 ทั้งสองทีมคู่ปรับร่วมเมืองแมนเชสเตอร์มีการเปลี่ยนตัวกุนซือกันแบบถ้วนหน้า โดย "เรือใบสีฟ้า" เลือกร่วมงานกับ "เป๊ป" โจเซฟ กวาร์ดิโอล่า ยอดโค้ชชาวสเปน ส่วน "ปีศาจแดง" ลงเอยกับ โจเซ่ มูรินโญ่ ยอดโค้ชชาวโปรตุกีส แม้ว่า แมนฯ ซิตี้ จะจบด้วยอันดับ 3 และตำแหน่งแชมป์เป็นของ เชลซี แต่ยังมีผลงานในศึกพรีเมียร์ลีกเหนือกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งจบด้วยอันดับ 6
ไปต่อกันที่ฤดูกาล 2017/2018 แมนฯ ซิตี้ หวนกลับคืนสู่บัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด ถือว่ามีผลงานที่ดีขึ้น เพราะจบด้วยอันดับ 2 ในฐานะรองแชมป์ แต่ยังคงตามหลังทีมคู่ปรับร่วมเมืองเดียวกันต่อไป
เข้าสู่ฤดูกาล 2018/2019 "เรือใบสีฟ้า" ยังคงครองความยิ่งใหญ่จากการจบด้วยอันดับ 1 และป้องกันบัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน ส่วน "ปีศาจแดง" ตัดสินใจปลด โจเซ่ มูรินโญ่ ออกจากตำแหน่งนายใหญ่แห่งถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด และให้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เข้ามาสวมบทเป็นกุนซือขัดตาทัพในช่วงกลางซีซั่นนั้น ก่อนจะจบเพียงแค่อันดับ 6 เท่านั้น
แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูกาล 2019/2020 ทั้งสองทีมคู่ปรับร่วมเมืองแมนเชสเตอร์ต้องตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ซึ่งกลับมาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีได้เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี โดย แมนฯ ซิตี้ จบด้วยตำแหน่งรองแชมป์ในอันดับ 2 ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้ดีที่สุดในอันดับ 3
ปิดท้ายด้วยฤดูกาล 2020/2021 "เรือใบสีฟ้า" กลับคืนสู่บัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง แม้ว่า "ปีศาจแดง" จะมีผลงานที่ดีขึ้น เพราะเคยขยับขึ้นไปรั้งจ่าฝูงเหนือทีมคู่ปรับร่วมเมืองเดียวกันได้อยู่สักใหญ่ๆ แต่สุดท้ายทำได้ดีที่สุดเพียงแค่ลุ้นเข้าป้ายอันดับ 2 เท่านั้น
นั่นคือผลงานของ "ปีศาจแดง" ในช่วงหลังยุค "เฟอร์กี้" ซึ่งต้องตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของ แมนฯ ซิตี้ มาโดยตลอด และยังไม่รู้ว่าจะสามารถกลับมาแผ่รัศมีให้เหนือทีมคู่ปรับร่วมเมืองเดียวกันเหมือนอย่างในอดีตได้อีกครั้งเมื่อไรด้วย
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด