คริสเตียน อีริคเซ่น ชายผู้ทำให้โลกรู้ว่าฟุตบอลสวยงามเพียงใด - FEATURE
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้โลกได้รู้ว่า ฟุตบอล ไม่ได้เป็นเพียงแค่เกมกีฬาที่มีแต่การใช้แรงเข้าปะทะเพื่อห่ำหั่นกันในสนามเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องของ "สปิริต" หรือความเป็นน้ำหนึ่งในเดียวกัน รวมถึงเรื่องของ "มิตรภาพ" และเรื่องของ "น้ำใจ" ความห่วงหาเอื้ออาทรกันของเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกใบเดียวกันอีกด้วย สำหรับเรื่องราวของ คริสเตียน อีริคเซ่น กองกลางทีมชาติเดนมาร์ก ซึ่งเกิดอาการวูบหมดสติคาสนามในศึก ยูโร 2020 นัดประเดิมสนาม กลุ่ม บี พบกับ ฟินแลนด์ ที่ปาร์เค่น สเตเดี้ยม ในกรุงโคเปนฮาเกน ประเทศเดนมาร์ก เมื่อคืนวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา
ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์แบบที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน เพราะอยู่ดีๆ อีริคเซ่น ก็อาการล้มไปกองอยู่ที่พ้นสนามแบบดื้อๆ แต่มีนักฟุตบอลอยู่คนหนึ่งที่ได้วิ่งปรี่เข้าไปดูเพื่อนร่วมทีมเป็นคนแรกๆ เลย นั่นก็คือ ซิมง เคียร์ กองหลังกัปตันทีมชาติเดนมาร์ก และเป็นคนจัดท่าทางการนอนให้สามารถหายใจได้สะดวกที่สุด เพื่อไม่ให้ลิ้นเข้าไปปิดบังทางเดินหายใจนั่นเอง นอกจากนี้ยังเป็นคนเรียกทีมแพทย์ให้เข้ามาช่วยปฐมพยาบาลเบี้องต้นด้วยวิธีปั๊มหัวใจฉุกเฉินแบบ CPR และได้เรียกเพื่อนนักเตะให้มาตั้งกำแพงมนุษย์เพื่อช่วยกันยืนบังไม่ให้กล้องถ่ายภาพได้ ซึ่งเป็นการปกป้องสิทธิ์ของเพื่อนร่วมทีมในเหตุการณ์ไม่คาดฝันนั่นเอง
ขณะเดียวกัน เคียร์ ได้เดินเข้าไปปลอบ ซาบริน่า เยนเซ่น ภรรยาของดาวเตะวัย 29 ปีที่กำลังร้องไห้อย่างหนักอีกด้วย ส่วนกองเชียร์ในสนามได้ให้ความเคารพสิทธิ์ส่วนตัวของกองกลางทีมชาติเดนมาร์กด้วยเช่นกัน โดยแฟนบอลฟินแลนด์ได้โยนธงชาติมาให้นักเตะใช้ปิดล้อมเอาไว้เพื่อไม่ให้กล้องถ่ายภาพได้ และไม่มีใครยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกภาพเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าเลยเสียด้วยซ้ำ หลังจากนั้น อีริคเซ่น ได้ฟื้นตัวกลับมามีสติอีกครั้ง และถูกนำตัวหามส่งโรงพยาบาลทันที ทำให้โลกโซเซียลมีเดียต่างพากันชื่นชมกัปตันทีมชาติเดนมาร์กที่ได้ทำหน้าที่เป็นผู้นำตัวจริงในเหตุการณ์ที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนเลย
นอกจากนี้โลกโซเซียลมีเดียยังได้ชื่นชมผู้เล่นของทั้งสองทีมด้วย แม้จะอยู่ในช่วงเสียขวัญจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ได้ตัดสินใจกลับมาลงสนามแข่งขันกันต่อ ซึ่งเป็นไปตามคำขอของ อีริคเซ่น ในช่วงที่ฟื้นคืนสติมาด้วยนั่นเอง แม้ว่า สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า ในฐานะฝ่ายจัดการแข่งขันจะได้ประกาศยกเลิกการแข่งขันไปให้ก่อนแล้วก็ตาม ส่วนในรายของ โจเอล โพห์ยานพาโล่ นักเตะทีมชาติฟินแลนด์เลือกที่จะไม่แสดงความดีใจในช่วงหลังจากที่ยิงประตูชัยได้สำเร็จ เพื่อให้เกียรติกับมิดฟิลด์ทีมชาติเดนมาร์กที่ประสบเหตุโชคร้ายในเกมนัดนี้นั่นเอง ทั้งๆ ที่ช่วยให้บ้านเกิดเก็บชัยชนะจากการประเดิมสนามในทัวร์นาเมนต์ได้เป็นครั้งแรกเลยด้วย
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้โลกได้รู้ว่า ทุกคนเป็นห่วง อีริคเซ่น เป็นอย่างมาก เพราะได้ร่วมกันโพสต์ข้อความเพื่อส่งกำลังใจให้กับดาวเตะทีมชาติเดนมาร์กผ่านทางสื่อโซเซียลมีเดียในช่องทางต่างๆ กันแบบล้มหลามเลย โดยเฉพาะในหลายๆ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับวงการฟุตบอล ไม่ว่าจะเป็น อินเตอร์ มิลาน ซึ่งเป็นทีมต้นสังกัดปัจจุบัน รวมถึง สเปอร์ส ทีมต้นสังกัดเก่า เป็นต้น ส่วนทัพนักเตะของทีมชาติเยอรมนีได้ร่วมตัวกันในแคมป์เก็บตัวฝึกซ้อม โดยมีภาพของมิดฟิลด์วัย 29 ปีอยู่ด้านหลังเพื่อร่วมส่งกำลังใจให้ด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกัน โรเมลู ลูกากู กองหน้าทีมชาติเบลเยี่ยม ซึ่งประเดิมสนามในศึกยูโร 2020 ด้วยฟอร์มร้องแรงในช่วงคืนวันเดียวกันจากการซัดเบิ้ลเหมาคนเดียว 2 ประตูให้ทีมบ้านเกิดไล่ต้อน รัสเซีย แบบขาดลอยถึง 3-0 ยอมรับว่าได้ปล่อยโฮร้องไห้ออกมาในช่วงหลังจากที่รู้ข่าวของ อีริคเซ่น ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทีม อินเตอร์ มิลาน ต้นสังกัดเดียวกันนั่นเอง จึงได้เดินไปหากล้องถ่ายทอดสดในช่วงหลังจากที่ยิงประตูแรกพร้อมกับบอกว่า "คริส ฉันรักนาย" เพื่ออุทิศประตูนี้ให้กับมิดฟิลด์วัย 29 ปีไปเลย
ตอนนี้ อีริคเซ่น สามารถลืมตาขึ้นมาดูโลกได้ตามปกติอีกครั้ง แต่อาจจะไม่สามารถกลับมาเล่นฟุตบอลอีกแล้ว โดย ด็อตเตอร์ สกอตต์ เมอร์รี่ย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจของ เนชั่นแนล เฮลท์ เซอร์วิซ หรือ NHS ซึ่งเป็นหน่วยงานสาธารณสุขของอังกฤษ เปิดเผยว่า ดาวเตะทีมชาติเดนมาร์กมีโอกาสต้องจบอาชีพค้าแข้งไปโดยปริยาย หากมีการยืนยันว่าเป็นเพราะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เพราะจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว และเป็นเรื่องของกฏหมายในประเทศอิตาลีบนดินแดนที่โชว์ฝีเท้าอยู่ด้วย ซึ่งได้ระบุเอาไว้ว่าจะไม่ได้ผู้เล่นที่มีความผิดปกติของหัวใจทำการแข่งขันกีฬาโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันการเสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันตามกฎกติกาที่ได้ใช้บังคับใช้ในเมืองมะกะโรนีมานานกว่า 20 ปีแล้วด้วย
แม้ว่าเรื่องอนาคตค้าแข้งของ อีริคเซ่น จะยังไม่ได้สรุปในเร็วๆ นี้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับดาวเตะทีมชาติเดนมาร์กได้ทำให้โลกรับรู้ว่า "ฟุตบอล" เป็นเกมกีฬาที่ดีต่อใจ และไม่มีแค่การแข่งขันของทั้งสองทีมในสนามเพื่อแย่งกันเป็นฝ่ายชนะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะมีความหมายที่สวยงามอยู่ในแต่ละเกมอีกมากมายเต็มไปหมด
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด