ได้เวลาลั่นกลองรบ ยูโร 2020 - FEATURE

UEFA EURO 2020 Trophy Tour Arrives In London
UEFA EURO 2020 Trophy Tour Arrives In London / Rob Pinney/Getty Images
facebooktwitterreddit

แม้จะต้องเลื่อนจากกำหนดการเดิมถึงหนึ่งปี นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งได้เริ่มลุกลามไปทั่วโลกเมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว แต่ว่า ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือที่เรียกกันแบบสั้นๆ ว่า ยูโร พร้อมลงสนามฟาดแข้งกันในช่วงกลางปี 2021 อย่างแน่นอน โดยยังคงใช้ชื่อทัวร์นาเมนต์ว่า ยูโร 2020 และจะชิงชัยกันระหว่างวันที่ 11 มิถุนายน ถึง 11 กรกฎาคมนี้แล้วนั่นเอง เพื่อให้ทั้ง 24 ชาติลูกหนังที่ได้ผ่านเข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายแย่งชิงความเป็น "เบอร์หนึ่ง" ของทวีปในฐานะ "เจ้ายุโรป" กันต่อไป

Skillzy
UEFA Euro 2020 Trophy Tour in Rome / Paolo Bruno/Getty Images

สำหรับ ยูโร 2020 ในครั้งนี้เป็นการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปครั้งที่ 16 และเป็นครั้งแรกที่จะไม่มีชาติเจ้าภาพหลักเพียงแค่ 1 หรือ 2 ประเทศเหมือนอย่างเมื่อก่อน เพราะจะกระจายไปแข่งกันในเมืองของชาติต่างๆ ทั่วทั้่งทวีปที่รับหน้าที่จัดการแข่งขันในแต่ละกลุ่ม และในแต่ละรอบรวมกันทั้งหมดถึง 12 ประเทศเลยทีเดียว

ไล่ตั้งแต่ กรุงโรม (อิตาลี), กรุงบากู (อาเซอร์ไบจาน), กรุงโคเปนฮาเกน (เดนมาร์ก), กรุงอัมสเตอร์ดัม (ฮอลแลนด์), กรุงบูคาเรสต์ (โรมาเนีย), กรุงลอนดอน (อังกฤษ), กรุงดับลิน (ไอร์แลนด์), กรุงบูดาเปสต์ (ฮังการี), มิวนิค (เยอรมนี), กลาสโกว์ (สกอตแลนด์), เซบีญ่า (สเปน), เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก (รัสเซีย) ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า ที่ต้องการให้ทุกชาติในทวีปยุโรปได้มีส่วนร่วมกับทัวร์นาเมนต์นี้ให้ได้มากที่สุด เพื่อฉลองครบรอบ 60 ปีของเกมฟาดแข้งรายการนี้ที่ได้เริ่มจัดแข่งกันมาตั้งแต่ปี 1960 นั่นเอง

Fernando Santos, Didier Deschamps, Joachim Loew
UEFA Euro 2020 Final Draw Ceremony / Catherine Ivill/Getty Images

ทั้งนี้ ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ได้จัดชิงชัยกันในช่วงก่อนหน้านี้มาแล้วทั้งหมด 15 ครั้ง โดยมี 2 ชาติยักษ์ใหญ่ที่เคยคว้าแชมป์รายการนี้พร้อมกับความเป็น "เบอร์หนึ่ง" ของทวีปได้มากที่สุดถึง 3 สมัยเท่ากันพอดีเลย นั่นก็คือ "อินทรีเหล็ก" เยอรมนี ในปี 1972, 1980, 1996 และ "กระทิงดุ" สเปน ในปี 1964, 2008, 2012 ขณะที่ โปรตุเกส ยังคงอยู่ในฐานะแชมป์เก่าจากเมื่อครั้งก่อน ส่วนในศึกยูโร 2020 มีการจับสลากแบ่งสายรอบแรกออกเป็น 6 กลุ่มๆ ละ 4 ทีมไปนานแล้วดังต่อไปนี้เลย

กลุ่ม เอ : อิตาลี, ตุรกี, สวิตเซอร์แลนด์ และ เวลส์

กลุ่ม บี : เบลเยี่ยม, รัสเซีย, ฟินแลนด์ และ เดนมาร์ก

กลุ่ม ซี : ฮอลแลนด์, ยูเครน, ออสเตรีย และ มาซิโดเนียเหนือ

กลุ่ม ดี : อังกฤษ, โครเอเชีย, สาธารณรัฐเช็ก และ สกอตแลนด์

กลุ่ม อี : สเปน, สวีเดน, โปแลนด์ และ สโลวะเกีย

ปิดท้ายด้วย กลุ่ม เอฟ ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่หินที่สุด และถูกยกให้เป็น "กลุ่มแห่งความตาย" หรือที่เรียกกันตามภาษาฝรั่งว่า "กรุ๊ป ออฟ เดธ" เลยก็ว่าได้ เพราะมี 3 ชาติยักษ์ใหญ่ที่เคยได้แชมป์มาก่อนอยู่ในกลุ่มนี้นั่นเอง ไล่ตั้งแต่ "แชมป์เก่า" โปรตุเกส, เยอรมนี, ฝรั่งเศส รวมถึง ฮังการี ซึ่งเคยเป็นอดีตชาติลูกหนังระดับยักษ์ใหญ่ของโลกในยุคทศวรรษ 50-60 มาก่อน

Cristiano Ronaldo
Portugal v France - Final: UEFA Euro 2016 / Allsport Co./Getty Images

ย้ำอีกครั้งว่า ศึกยูโร 2020 จะเริ่มต้นฟาดแข้งกันในคืนวันที่ 11 มิถุนายนนี้แล้ว โดยคู่ประเดิมสนามจะเป็นการพบกันระหว่าง อิตาลี กับ ตุรกี ในกลุ่ม เอ ก่อนเลย ส่วนทีมไหนจะเป็นแชมป์ได้ครองความเป็น "เจ้ายุโรป" โปรดติดตามกันต่อไปจนถึงช่วงหลังจบเกมนัดชิงชนะเลิศในคืนวันที่ 11 กรกฎาคมนี้เอาเองก็แล้วกัน


สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด