เดนมาร์ก ทีมสปิริตสู้ด้วยใจไปได้ไกลเกินคาด - FEATURE

Russia v Denmark - UEFA Euro 2020: Group B
Russia v Denmark - UEFA Euro 2020: Group B / Wolfgang Rattay - Pool/Getty Images
facebooktwitterreddit

แม้จะไปไม่ถึงฝั่งฝันเพื่อย้อนรอยตำนาน "เทพนิยายเดนส์" จากเมื่อตอนสมัยที่คว้าแชมป์ยูโร 1992 ได้แบบพลิกความคาดหมาย เพราะจอดป้ายเพียงรอบตัดเชือกของศึก ยูโร 2020 นั่นเอง แต่ทัพลูกหนังจากดินแดนโคนม เดนมาร์ก ได้สร้างความประทับใจให้กับแฟนบอลทั่วโลก หลังทำผลงานได้แบบเข้าตามากๆ ทั้งๆ ที่ต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดต้งแต่ช่วงเริ่มต้นออกสตาร์ท แต่นักเตะทุกคนกลับไม่เสียขวัญ และสามารถร่วมใจกันจนไปได้ไกลเกินคาดเลยด้วย

England v Denmark  - UEFA Euro 2020: Semi-final
England v Denmark - UEFA Euro 2020: Semi-final / Visionhaus/Getty Images

ในศึกยูโร 2020 เดนมาร์ก อยู่ในกลุ่ม บี ร่วมสายเดียวกับ เบลเยี่ยม, รัสเซีย และ ฟินแลนด์ เพราะได้รับเลือกให้สวมบทเป็นหนึ่งในเจ้าภาพร่วม จึงได้ลงเตะที่ปาร์เค่น สเตเดี้ยม บนดินแดนของตัวเองในรอบแบ่งกลุ่มทั้ง 3 เกมเลย โดยเริ่มต้นประเดิมสนามพบกับ ฟินแลนด์ ซึ่งได้ผ่านเข้ามาเล่นในทัวร์นาเมนต์เป็นครั้งแรก แม้จะมีชื่อชั้นที่เหนือกว่าเยอะมาก แต่กลับเป็นฝ่ายแพ้แบบพลิกล็อก 0-1 ในช่วงหลังเจอเหตุการณ์ที่ คริสเตียน อีริคเซ่น กองกลางตัวเก่งล้มหมดสติคาสนามจนต้องยื้อเอาไว้กันแบบสุดชีวิต และสามารถกลับมาแข่งขันกันต่อได้แบบที่ต้องหมดสิทธิ์ใช้งานจอมทัพคนสำคัญไปตลอดทัวร์นาเมนต์เลย เพราะมีปัญหาเรื่องหัวใจหยุดเต้นแบบเฉียบพลันนั่นเอง

ส่วนนัดที่ 2 เดนมาร์ก เจอศึกหนักต้องเผชิญหน้ากับ เบลเยี่ยม ทีมเบอร์หนึ่งของโลกจากการจัดอันดับของ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า แม้จะเป็นฝ่ายยิงประตูขึ้นนำไปก่อนแบบรวดเร็ว แต่สุดท้ายกลับโดนยิงแซงจนแพ้ด้วยสกอร์ 1-2 จึงมีโอกาสจอดป้ายเพียงแค่รอบแบ่งกลุ่มสูงมากๆ เลย หลังจากที่พบกับความปราชัยใน 2 นัดแรก ทว่าทัพลูกหนังจากดินแดนโคนมได้ร่วมใจกันเล่นเพื่อ อีริคเซ่น และสามารถไล่ต้อน รัสเซีย ในนัดสุดท้ายด้วยสกอร์ขาดลอยถึง 4-1 จึงได้พลิกกลับมาเป็นฝ่ายเข้ารอบในฐานะรองแชมป์กลุ่ม บี ไปเลย พร้อมกับจารึกชื่อเป็นทีมแรกที่แพ้จาก 2 นัดเปิดหัวแล้วได้ลอยลำผ่านเข้าสู่รอบต่อไป

Christian Eriksen
คริสเตียน อีริคเซ่น / Friedemann Vogel - Pool/Getty Images

เมื่อเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย เดนมาร์ก ได้โชว์ฟอร์มสุดแกร่งจากการไล่ต้อน เวลส์ ไปแบบยับเยิน 4-0 และได้สร้างสถิติเป็นทีมแรกที่ยิงประตูเอาชนะคู่แข่งได้ 4 ลูกถึง 2 เกมติดต่อกัน จึงได้ทะลุผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายไปพบกับ สาธารณรัฐเช็ก ก่อนจะเป็นฝ่ายเฉือนชนะ 2-1 พร้อมกับตบเท้าผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศไปพบกับ อังกฤษ แต่กลับต้องจอดป้ายเพียงแค่รอบตัดเชือกแบบน่าเสียดายเหลือเกิน เพราะพลาดท่าแพ้ในช่วงต่อเวลาพิเศษไปแบบหวุดหวิด 1-2 หลังเสมอกันในช่วงเวลาปกติ 90 นาที 1-1

สำหรับ เดนมาร์ก ในยุคปัจจุบันอยู่ภายใต้การคุมทัพของกุนซือ แคสเปอร์ ฮูลมานด์ แม้จะไม่ได้เป็นโค้ชที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่สามารถร่วมใจนักเตะให้เล่นกันเป็นทีมที่เต็มไปด้วยสปิริตได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ และได้ปลุกปั้นนักเตะให้แจ้งเกิดในศึกยูโร 2020 ได้หลายคนเลย โดยเฉพาะ มิคเคล ดามส์การ์ด กองหน้าวัย 21 ปี ซึ่งได้รับโอกาสให้ลงสนามไปช่วยเกมรุกในฐานะตัวแทนของ อีริคเซ่น นั่นเอง จึงคาดว่าน่าจะมีโอกาสได้ย้ายจากต้นสังกัด ซามพ์โดเรีย เพื่อไปค้าแข้งกับทีมใหญ่ๆ ได้เหมือนกัน เพราะมีข่าวว่ากลายเป็นหมายปองของหลายๆ สโมสรแล้วด้วย

Mikkel Damsgaard
มิคเคล ดามส์การ์ด / Justin Tallis - Pool/Getty Images

นอกจากนี้ แคสเปอร์ โดลเบิร์ก เป็นอีกหนึ่งกองหน้าฝีเท้าที่ได้รับเสียงชื่นชมจากแฟนบอลเป็นอย่างมาก แม้ว่าในรอบแบ่งกลุ่มจะยังไม่ได้รับโอกาสให้ลงสนาม แต่เมื่อได้รับความไว้วางใจให้ลงเล่นรอบน็อคเอาท์ก็สามารถตอบแทนได้ด้วยการยิงไปถึง 3 ประตูเลย ส่วนผู้เล่นในแนวรับได้รับชมด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะ โจอาคิม มาห์เล่ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งนักเตะที่ได้แจ้งเกิดแบบเต็มตัว แม้จะสวมบทเป็นแบ็กขวาแต่สามารถเติมเกมรุกขึ้นไปสอยตาข่ายได้ถึง 2 ลูกเลย

ทำให้ เดนมาร์ก น่าจะเป็นอีกหนึ่งทีมที่อยู่ในความทรงจำของแฟนบอลอย่างแน่นอน หากให้นึกถึงเกมฟาดแข้งในศึกยูโร 2020 แม้จะมีศักยภาพเป็นรองพวกชาติลูกหนังระดับยักษ์ใหญ่ แต่มีจุดเด่นในเรื่องของการเล่นกันด้วยหัวจิตหัวใจตามสปิริตของนักเตะทุกคน จึงสามารถสู้กับทุกทีมบนสังเวียนแข้งได้แบบชนะใจกองเชียร์ไปเลย และต้องความคาราวะให้กับทัพลูกหนังจากดินแดนโคนมด้วยเช่นกัน

สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น!*ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด