ย้อนดูความผิดพลาดในเกมรับของ แมนยู จากประตูทั้ง 4 ที่เสียให้ แมนฯ ซิตี้ - OPINION
อีกหนึ่งความพ่ายแพ้ที่น่าขายหน้าของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับการออกไปเยือน 'เพื่อนบ้านผู้น่ารำคาญ' เพียงเพื่อจะไปโดนยิงเสียพรุนถึง 4 ประตู
เสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความกระหายที่มีอยู่น้อยนิด คุณภาพของผู้จัดการทีมและเหนือสิ่งอื่นใด การวางระเบียบในเกมรับที่หละหลวมยิ่งนัก
ทุกอย่างยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อมาย้อนดูภาพรีเพลย์ของแต่ละประตูที่เสียไปและเป็นการตอกย้ำว่าปัญหานี้มันเกินกว่าแค่จะซื้อผู้เล่นราคาแพงเข้ามาถมที่
ประตูที่ 1: โดย เควิน เดอ บรอยน์ นาทีที่ 5
จากจังหวะทุ่มลูกตั้งแต่เส้นครึ่งสนามของ ชูเอา คันเซโล - ผู้เล่น แมนฯ ซิตี้ ผ่านบอลกัน 13 ครั้ง โดยที่การสัมผัสบอลครั้งถัดไปของทีมเยือนเป็นการควักบอลออกมาจากประตูโดย ดาบิด เดเคอา ในอีกประมาณ 59 วินาทีต่อมา
แม้ รังนิค จะให้สัมภาษณ์ก่อนเกมว่าลูกทีมของเขาต้องเล่นอย่างรัดกุมและไม่เปิดพื้นที่ให้คู่แข่งได้เล่น แต่ผลลัพธ์ในสนามกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย
ลาปอร์ต ผ่านบอลคืนให้ คันเซโล ก่อนที่ฟูลแบ็คชาว โปรตุเกส จะจ่ายให้ แบร์นาโด ซิลวา ซึ่งหนีการประกบของ แม็คโทมิเนย์ ไปได้อย่างง่ายดายหรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือเขาแทบไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากจะวิ่งเหยาะๆไปข้างหน้าเพื่อรอรับบอลเท่านั้น
ซิลวา เล่นชิ่งกับ แจ็ค กรีลิช ก่อนที่ ลินเดอเลิฟ, วาน-บิซซาก้า และ แม็คโทมิเนย์ จะกรูกันเข้าไปประกบ ซิลวา คนเดียว ซึ่งตามทฤษฏีมันควรจะเป็นการปิดตายเขาไปเพียงเท่านั้น แต่ก็อย่างที่เห็นกันตั้งแต่แรกแล้วว่าการเพรสซิ่งของ ยูไนเต็ด ไม่ได้เพิ่มความกดดันให้คู่แข่งได้เลย ท้ายที่สุด ซิลวา แค่โยกทีเดียวก็เจอช่องจ่ายตัดเข้ามาให้กับ เดอ บรอยน์ แล้ว
ตัดภาพมาที่ เดอ บรอยน์ บ้าง - ในจุดนี้ เตลเลส เห็นเขาแล้ว แต่ก็ยังเลือกหันหน้าไปทางประตูและเปิดพื้นที่ให้กัปตัน เรือใบสีฟ้า โล่งโจ้งเช่นนั้น
มานึกได้ก็สายไปเสียแล้วเพราะความพยายามในการพุ่งเข้ามาสกัดบอลของเขาช้ากว่าการจ่ายของ ซิลวา แต่นอกจากนี้ถึงเขาประกบ เดอ บรอยน์ ติดแค่ไหนก็ยังคงมี มาห์เรซ ที่ไร้ตัวประกบอยู่ที่อีกฟากของประตูอยู่ดี
ซึ่งหาก ซิลวา คิดจะจ่ายไปทางนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ก็คงจะไม่วายโดนทำประตูอยู่ดี
ประตูที่ 2: โดย เควิน เดอ บรอยน์ นาทีที่ 28
เริ่มต้นด้วยความผิดพลาดของ เอลังก้า เมื่อ ป็อกบา จ่ายบอลย้อนคืนกลับไปให้เขาในแดนตัวเอง ก่อนที่แข้งดาวรุ่งจะพยายามโยนไปให้ บรูโน และหากเขาจ่ายสำเร็จมันจะเป็นการเล่นเกมสวนกลับที่สวยมากเพราะผู้เล่นของ ซิตี้ 8 ต่างก็ยืนอยู่สูงกว่าเขากันหมดแล้ว
อย่างไรก็ดี เอลังก้า ยกบอลต่ำเกินไปจน คันเซโล โหม่งแย่งคืนมาให้กับ กรีลิช ที่โขกสะกิดให้ โฟเด้น เข้ามายกบอลหนี ลินเดอเลิฟ ซึ่งโถมตัวเข้ามาจนเสียหลัก แม็คไกวค์ ทำท่าจะพุ่งเข้ามาหยุด โฟเด้น แต่ก็ลังเลไปหนึ่งจังหวะจนทำให้ดาวรุ่งของ ซิตี้ มีโอกาสได้สับไกไปติดเซฟของ เด เคอา
บอลกลับไปเข้าทางปืนของ ซิลวา ที่ยิงไปชน เตลเลส ที่ทิ้งตัวรอไว้แล้วเพียงเพื่อจะกระดอนกลับไปหา เดอ บรอยน์ ได้จบสกอร์ในระยะเผาขน
ตัดภาพหลับมาที่จังหวะ โฟเด้น ยกบอลหนี ลินเดอเลิฟ ในบริเวณใกล้เคียงกัน เราเห็น เฟร็ด ยืนประกบ เดอ บรอยน์ อยู่ แต่แค่ครู่เดียวเมื่อแข้งชาว เบลเยียม ทะยานเติมเข้าไปในกรอบเขตโทษ เขาก็เลิกประกบเอาเสียดื้อๆเลย
ประตูที่ 3: โดย ริยาด มาห์เรซ นาทีที่ 68
การป้องกันลูกเตะมุมของ ยูไนเต็ด ทุกครั้งจะคล้ายๆกัน เมื่อผู้เล่นทุกคนจะถอยกรูกันมาในกรอบเขตโทษของตัวเองเพื่อพยายามหยุดยั้งไม่ให้ใครก็ตามเทคตัวขึ้นโขกลูกบอลได้ แต่สิ่งที่พกวเขาทำพลาดคือการไม่ทิ้งใครเอาไว้ข้างหน้าเลย และอย่างที่เห็นตั้งแต่ในเกมกับ วัตฟอร์ด อิสไมลา ซาร์ ไร้ตัวประกบอยู่ที่นอกกรอบเขตโทษ
และนั่นก็น่าจะเป็นที่มาของประตูแรกของ มาห์เรซ ที่ทะยานเข้ามาตรงจุดนัดพบเพื่อส่งบอลสวนทางเข้าไปตุงตาข่ายแบบสวยงาม
ไม่ใช่แค่กับ วัตฟอร์ด แต่ในเกมกับ แอตเลติโก มาดริด ก่อนหน้านี้ก็เป็น เมื่อ อังเคล คอร์เรอา ถูกทิ้งให้ยืนโล่งอยู่คนเดียวที่กรอบเขตโทษพร้อมโบกไม้โบกมือเรียกขอบอล
จริงอยู่ที่หากไม่ใช่ เดอ บรอยน์ ก็ไม่รู้ว่าใครจะผ่านบอลไปให้กับ มาห์เรซ ได้อย่างแม่นยำเช่นนั้นอีกบ้าง แต่ความจริงที่ว่าผู้เล่นทั้ง 11 คนของ ยูไนเต็ด นั้นต่างอยู่ในกรอบกันหมด แต่ยังอุตส่าห์เปิดพื้นที่ให้แนวรุกฝ่ายตรงข้ามได้มีโอกาสวางเท้าจบสกอร์ได้ในระยะ 18 หลาห่างจากประตูอย่างไร้ซึ่งแรงกดดันก็เป็นเรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย
ประตูที่ 4: โดย ริยาด มาห์เรซ นาทีที่ 90+1
แม้จะนำอยู่ 3-1 แต่ผู้เล่น แมนฯ ซิตี้ ก็ยังวิ่งดันแนวรับของ ยูไนเต็ด อย่างไม่ลดละจนทำให้ เด เคอา ต้องรีบสาดบอลขึ้นหน้าแล้วโดนชิงคืนมาได้
บอลไปอยู่ที่ กุนโดกัน ซึ่งเลี้ยงผ่าน แม็คโทมิเนย์ เหมือนเป็นกรวยสนามซ้อม ก่อนจะแทงให้ มาห์เรซ ซึ่งโดนประกบโดย เตลเลส ที่ชั่งใจว่าจะสิ่งตามไปดีหรือเล่นกับดักล้ำหน้าดี - เราเรื่องอย่างหลัง แต่อาจจะตัดสินใจช้าเกินไปหน่อย
มาห์เรซ หลุดไปโดยที่ แม็คไกวร์ และ ลินเดอเลิฟ อยู่ในตำแหน่งที่จะวิ่งตามไปก็คงไม่ทันการแล้ว