สตีเว่น เจอร์ราร์ด: ตามรอย 1 ในท็อป 20 ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาล พรีเมียร์ลีก
สตีเวน เจอร์ราร์ด ผู้จัดการทีม เรนเจอร์ส และอดีตกัปตันทีม ลิเวอร์พูล ที่ถูกขนานนามว่าเป็นมิดฟิลด์ที่ครบเครื่องที่สุดคนหนึ่งของ พรีเมียร์ลีก ในสมัยที่เขายังคงเป็นักเตะอยู่
ดาวเตะผู้นี้มีสถิติการทำประตูที่น่าทึ่งด้วยจำนวน 120 ประตูจาก 504 นัดให้กับสโมสเดียวและรั้งอยู่ที่อันดับ 19 ในหมู่ดาวซัลโวของลีกผู้ดี
90min ขอพาผู้อ่านย้อนรอยเส้นทางการค้าแข้งของเขา - ตั้งแต่จนจนถึงวันที่แขวนสตั๊ด แล้วเราจะได้เห็นว่าบุรุษผู้นี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากเพียงใด
ผลผลิตของ เมอร์ซีย์ไซด์
'สตีวี่ จี' เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่ยังเด็กให้กับทีมท้องถิ่นอย่าง วิสตัน จูเนียร์ส ก่อนที่ฟอร์มการเล่นของเขาจะไปเตะตาแมวมอง ลิเวอร์พูล จนถูกชักชวนให้ไปร่วมทีมอคาเดมีของสโมสรตั้งแต่อายุเพียง 9 ขวบเท่านั้น
เขาเริ่มต้นจากตำแหน่งปีกขวาแต่ด้วยความขยันและการผ่านบอลที่เด็ดขาด ท้ายที่สุดโค้ชทีมเยาวชนของ ลิเวอร์พูล จึงตัดสินใจปรับบทบาทให้ เจอร์ราร์ด มาเล่นกองกลางอย่างเต็มตัว
วันที่ 29 พฤศจิกายน 1998 เขาได้โอกาสสัมผัสเกม พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกในฐานะตัวสำรองของ เวการ์ด เฮ็กเกม ในนาทีที่ 90 ซึ่งเป็นเกมที่ต้นสังกัดของเขาสามารถเอาชนะ แบล็คเบิร์น ไปได้ 2-0
ไม่กี่สัปดาห์ถัดมา เขาก็ได้โอกาสออกสตาร์ทเป็นตัวจริงหนแรกในการเผชิญหน้ากับ เซลตา บีโก ในศึก ยูฟ่า คัพ ที่แม้จะลงเอยด้วยความพ่ายแพ้แต่เขากลับได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเกมนั้นไปครองพร้อมกับแชมเปญหนึ่งขวด
1999/00
ในปีถัดมา เจอร์ราร์ด ได้รับความไว้วางใจอย่างเต็มที่จาก เชราร์ด อุลลิเยร์ ให้คุมแดนกลางคู่กับ เจมี เรดแนปป์ โดยในปีเดียวกันนนั้นเองเป็นปีที่เขาทั้งยิงประตูแรกได้ในเกมกับ เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ และได้รับใบแดงใบแรกซึ่งเป็นเกมกับ เอฟเวอร์ตัน คู่อริตลอดกาลเสียด้วย
ด้วยพรสวรรค์ที่แสดงออกมาให้เห็นเขาจึงได้โอกาสติดทีมชาติไปลุยศึก ยูโร 2000 กับเขาด้วย แต่ก็ทำได้แค่ซึบซับบรรยากาศจากการนั่งชมเกมในฐานะตัวสำรองเท่านั้น
ความสำเร็จแรก
ในวัย 20 ปี เขาเริ่มฉายแววให้เห็นถึงความสามารถในการยิงประตู ทั้งการยิงไกลและการพาบอลขึ้นหน้าไปหาโฮกาสยิงเองก็มีให้เห็นอยูบ่อยๆ ในฤดูกาล 2000/01 เขาทำไปถึง 7 ประตู จากตำแหน่งกองกลาง พร้อมเป็นกำลังสำคัญช่วยทีมคว้าทริปเปิลแชมป์บอลถ้วยอย่าง ยูฟ่า คัพ, เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ
กัปตันตัวจริง
ในฤดูกาล 2003/04 เจอร์ราร์ด ในวัย 23 ปี ได้รับมอบหมายให้เป็นกัปตันทีมและสามารถแสดงความเป็นผู้นำออกมาให้เห็นอยู่เสมอทั้งในและนอกสนาม
ใน 17 ฤดูกาลของเขาที่ แอนฟิลด์ เจอร์ราร์ด คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ 2 สมัย, ลีก คัพ 3 สมัย, ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก, ยูฟ่าคัพ, เอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ และ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ
เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เจอร์ราร์ด ได้ได้บรรจุชื่อในหอเกียรติยศของ พรีเมียร์ลีก ต่อจาก เชียร์เรอร์, อองรี, แลมพาร์ด, คีน และ เบิร์กแคมป์
ก่อนจากลา
ในเกมสุดท้ายของ เจอร์ราร์ด กับ ลิเวอร์พูล ในวันที่ 24 พฤษภาคม นั้นบอกตามตรงว่าไม่น่าจดจำเอาเสียเลย เพราะทีมของเขาฝ่ายแพ้ต่อ สโต๊ก ซิตี้ ไปมากถึง 6-1 ที่สนาม บริแทนเนีย สเตเดียม โดยที่ตัวเขาเองนั่นแหละที่เป็นคนทำหนึ่งประตูนั้นให้กับต้นสังกัด
ผลการแข่งขันในนัดนี้กลายมาเป็นสถิติที่ ลิเวอร์พูล แพ้ยับเยินที่สุดในรอบ 52 ปี และทีมของเขาทำได้จบอันดับที่ 6 ในตารางคะแนนและได้ไปเล่นในรายการ ยูโรปาลีก เท่านั้น
หลังจากนั้นเขาก็ตัดสินใจย้ายไปเล่นใน อเมริกา กับ แอลเอ กาแล็กซี และแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในปีถัดมาด้วยวัย 36 ปี
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น!*ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด