เดนมาร์ก เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ลุ้นตามรอย เดนิช ไดนาไมท์ - FEATURE

เป็นอีกหนึ่งชาติลูกหนังที่มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นในศึก ยูโร2020 มากมายเลย สำหรับ เดนมาร์ก ซึ่งได้ตบเท้าผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นทีมแรกเรียบร้อยแล้ว จึงมีโอกาสลุ้นไปถึงตำแหน่งแชมป์ในช่วงบั้นปลายได้เหมือนกัน เพื่อย้อนรอยตำนาน "เดนิช ไดนาไมท์" ของพวกนักเตะรุ่นพี่ที่เคยผงาดคว้าแชมป์ยูโร 1992 ได้แบบพลิกความคาดหมาย

ในศึกยูโร 2020 เดนมาร์ก ประเดิมสนามรอบแบ่งกลุ่มด้วยการพลาดท่าแพ้ ฟินแลนด์ ทีมน้องใหม่ที่ได้ผ่านเข้ารอบมาโชว์ฝีเท้าในทัวร์นาเมนต์ใหญ่เป็นครั้งแรกไปแบบพลิกล็อก 0-1 และมีเหตุการณ์กระชากหัวใจจากจังหวะที่ คริสเตียน อิริคเซ่น วูบหมดสติคาสนาม แต่ได้รับการช่วยเหลือจากทุกฝ่าย จึงสามารถกลับมาลืมตาดูโลกได้ตามปกติ

ส่วนนัดที่ 2 สามารถสู้กับ เบลเยี่ยม ทีมหมายเลข 1 จากผลการจัดอันดับทีมฟุตบอลชายทั่วโลกของ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ได้แบบสูสี แต่สุดท้ายเป็นฝ่ายแพ้แบบน่าประทับใจด้วยสกอร์ 1-2 ตอนนั้น เดนมาร์ก เหมือนตายไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะมีโอกาสตกรอบสูงมาก หลังพบกับความปราชัยจาก 2 นัดแรกนั่นเอง ก่อนจะมีฮึดเดินหน้าไล่ต้อน รัสเซีย ในนัดสุดท้ายไปแบบขาดลอยถึง 4-1

ทำให้ เดนมาร์ก ได้เกิดใหม่อีกครั้ง เพราะสามารถพลิกกลับมาเป็นฝ่ายเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายจากการเข้าป้ายรองแชมป์กลุ่ม บี เสียด้วย แม้จะมี 3 คะแนนเท่ากับ ฟินแลนด์ กับ รัสเซีย แต่มีผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่าทั้ง 2 ทีมดังกล่าว จึงได้สร้างสถิติเป็นทีมแรกที่เริ่มต้นด้วยการพ่ายแพ้ 2 นัดรวดแต่ได้ผ่านเข้ารอบแบบหน้าตาเฉย โดยได้ลอยลำไปเผชิญหน้ากับ เวลส์ และเดินหน้าไล่ถล่มได้ถึง 4-0 เลยทีเดียว พร้อมกับทะยานผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายไปดวลแข้งกับ สาธารณรัฐเช็ก ได้ด้วย

ย้อนหลังกลับไปในศึก ยูโร 1992 เดนมาร์ก เคยสร้างเทพนิยายแบบที่ตายไปแล้วฟื้นคืนชีพกลับมาได้อีกครั้ง เพราะตอนนั้นไม่ได้ผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายเสียด้วยซ้ำ หลังจอดป้ายเพียงแค่รอบคัดเลือกเท่านั้น โดยจบด้วยตำแหน่งรองแชมป์กลุ่มตามหลัง ยูโกสลาเวีย ทีมแชมป์กลุ่มเพียงแต้มเดียว แต่กลับได้สิทธิ์ผ่านเข้าไปรอบสุดท้ายแทน ยูโกสลาเวีย ซึ่งโดนตัดสิทธิ์จากปัญหาสงครามกลางเมือง และกลายเป็นประเทศที่ล่มสลายไปแล้วในเวลาต่อมา

ตอนนั้น เดนมาร์ก อยู่ภายใต้การคุมทัพของกุนซือ ริชาร์ด โมลเลอร์-นีลเซ่น และมีนักเตะฝีเท้าดีอยู่หลายคนด้วย โดยเฉพาะ ไบรอัน เลาดรู๊ป อดีตกองหน้าจอมพลิ้วในช่วงทศวรรษ 90 รวมถึง ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ตำนานผู้รักษาประตูระดับโลก ซึ่งเป็นพ่อของ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล นายทวารมือหนึ่งในทีมยุคปัจจุบัน

แม้ว่าในรอบแบ่งกลุ่มของศึกยูโร 1992 ซึ่งตอนนั้นรอบสุดท้ายมีทั้งหมด 8 ทีม และแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มๆ ละ 4 ทีม เดนมาร์ก จะอยู่ในกลุ่ม 1 ร่วมสายเดียวกับ อังกฤษ, ฝรั่งเศส และ "เจ้าภาพ" สวีเดน แต่สามารถตบเท้าผ่านเข้ารอบในฐานะรองแชมป์กลุ่ม เพราะเป็นฝ่ายเฉือนชนะ ฝรั่งเศส ในนัดสุดท้ายได้แบบพลิกล็อก 2-1 จึงได้ทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศไปเจอศึกหนักชนกับ ฮอลแลนด์ ทีมแชมป์เก่าจากศึกยูโร 1988

แน่นอนว่า เดนมาร์ก ดูเป็นรองในช่วงก่อนเกมแบบสุดกู่ เพราะตอนนี้ ฮอลแลนด์ นำทัพโดย "3 ทหารเสือ" ประกอบไปด้วย แฟรงค์ ไรจ์การ์ด, รุด กุลลิท และ มาร์โก แวน บาสเท่น ซึ่งเป็น 3 นักเตะระดับโลกของยุคนั้นเลย แต่ เดนมาร์ก กลับสามารถยันเสมอได้จนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษครบ 120 นาที 2-2 จึงต้องดวลจุดโทษตัดสินเพื่อตามหาผู้ชนะ และเป็น เดนมาร์ก สังหารได้แม่นกว่าชนะ 5-4 พร้อมกับตบเท้าผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ และต้องไปเจองานช้างเผชิญหน้ากับ เยอรมนี ซึ่งตอนนั้นมีดีกรีเป็นถึงแชมป์ฟุตบอลโลก 1990 เลยด้วย

ทว่า เดนมาร์ก ได้ช็อกโลกด้วยการคว่ำ เยอรมนี ในนัดชิงแบบหักปากกาเซียน 2-0 พร้อมกับสร้างตำนาน "เดนิช ไดนาไมท์" ตามสมญานามของทีมจากการระเบิดฟอร์มจนได้เข้าป้ายแชมป์ยูโร 1992 แบบพลิกความคาดหมายไปเลย จึงต้องติดตามกันต่อไปว่า ทีมในยุคปัจจุบันจะสามารถเดินตามรอยความสำเร็จเมื่อครั้งอดีตได้หรือไม่ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องผ่าน สาธารณรัฐเช็ก ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายไปให้ได้เสียก่อน

สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น!*ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด