ไทม์ไลน์ชีวิต คาร์ลอส เตเบซ: แจ้งเกิดที่ แมนยู ย้ายมาเล่นให้ แมนฯ ซิตี้ จนถึงการรับงานกุนซือที่บ้านเกิด - FEATURE
คาร์ลอส เตเบซ ประกาศแขวนสตั๊ดจากการเป็นนักฟุตบอลเมื่อต้นเดือนมิถุนายน หลังเกือบสองทศวรรษที่โลดแล่นอยู่ในสนามพร้อมสร้างความตื่นตาให้กับแฟนบอลของตัวเองและความขุ่นมัวแก่แฟนๆฝั่งตรงข้ามมาโดยตลอด - เขาไม่ได้ว่างงานนานนัก เพราะล่าสุดเจ้าตัวเพิ่งแต่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีม โรซาริโอ เซ็นทรัล ในประเทศ อาร์เจนตินา บ้านเกิดของตัวเองแล้ว
ด้วยเหตุฉะนี้ เราจึงขอพามาย้อนรำลึกถึงช่วงเวลาของแข้งรายนี้ นับตั้งแต่ที่เขาได้แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2007 เสียหน่อยดีกว่า
1. แมนฯ ยูไนเต็ด
เตเบซ เริ่มต้นกับ โบคา จูเนียร์ส และสร้างความประทับใจให้กับแฟนๆในฐานะนักเตะที่สร้างตัวขึ้นมาจากการเป็นคนชั้นล่าง พร้อมระเบิดฟอร์มพาทีมคว้าแชมป์บอลถ้วยได้ถึงสองรายการ
โดยหลังย้ายไปคว้าแชมปลีกกับ โครินเธียนส์ ที่ บราซิล เขาก็ได้โอกาสมาสัมผัสฟุตบอล พรีเมียร์ลีก ที่ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
ประตูแสนสำคัญของเขาช่วยให้ ขุนค้อน รอดตกชั้นมาได้อย่างหวุดหวิด จนถูก ปีศาจแดง ลงทุนจ่ายค่ายืมตัวกว่า 10 ล้านให้เขาโยกมาเล่นใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด สองฤดูกาลด้วยกัน
เตเบซ ผนึกกำลังกับ รูนี่ย์ และ โรนัลโด้ กลายเป็นสามประสานแสนอันตรายที่ทุกทีมจะต้องกลัวจนตัวสั่น
79 ประตูจากทั้งสามคนช่วยให้ ยูไนเต็ด ได้ชูถ้วยแชมป์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก่อนที่ในซัมเมอร์ปี 2009 ทั้งสองฝ่ายจะแยกทางกันแบบไม่สวยนักเพราะ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่คิดว่าค่าตัวของเขาควรจะแพงระดับ 25 ล้านปอนด์แม้ว่าฝีเท้าของเขาจะจัดจานแค่ไหนก็ตามที
2. แมนฯ ซิตี้
ไม่นานหลังจากนั้น เขาได้ถูกคว้าตัวไปโดย แมนฯ ซิตี้ พร้อมกับป้ายบิลบอร์ด 'Welcome to Manchester' ที่ลือลั่นที่สร้างความเดือดดาลให้ เฟอร์กี้ เป็นอย่างมาก
ผลงาน 29 ประตูในฤดูกาลแรกของเขาและ 23 ประตูในปีที่สองพิสูจน์แล้วว่า ซิตี้ ไม่ได้ค้วาตัวเขามาแค่เพื่อต้องการให้อริร่วมเมืองรู้สึกขุ่นมัว แถม เตเบซ ยังยกระดับทีม สีฟ้า จนได้จบอันดับ 3 ใน พรีเมียร์ลีก และคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพในปี 2011 และยุติช่วงเวลา 35 ปี ที่ร้างราจากถ้วยรางวัลใบสุดท้าย
น่าเสียดายที่หลังจากนั้นมันเริ่มไม่สวยแล้ว
3. กอล์ฟ
แกเร็ธ เบล ไม่ใช่คนแรกที่มีปัญหากับต้นสังกัด โดยที่มีกีฬากอล์ฟเข้ามามีส่วนร่วมด้วย เพราะในฤดูกาลที่สามของเขาใน เอติฮัด - เกิดรอยร้าวขึ้นระหว่าง เตเบซ และ โรแบร์โต มันชินี เมื่อตัวนักเตะปฏิเสธจะลงสนามในฐานะตัวสำรองขณะที่ บาเยิร์น มิวนิค ทำสกอร์นำพวกเขาอยู่ 2-0
กุนซือชาว อิตาเลียน ยืนยันว่า เตเบซ จะไม่ได้ลงเล่นให้สโมสรอีก หากไม่เปลี่ยนทัศนคติ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงเมื่อเขาตัดสินใจบินกลับ อาร์เจนตินา เพื่อไปฝึกวงสวิง พร้อมให้สัมภาษณ์ตำหนิเมือง แมนเชสเตอร์ ว่าเป็นเมืองที่เล็กและฝนก็ตกบ่อยเกินไปแถมร้านอาหารก็มีน้อย
ท้ายที่สุดเขาก็กลับมาและแก้ตัวด้วยการแฮตทริคใส่ นอริช พร้อมร่วมเป็นประจักษ์ในการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยแรกของสโมสรมาครองได้
เขาอยู่ต่ออีกฤดูกาลกับบทบาทที่มีน้อยลง ก่อนจะตัดสินใจย้ายออกไปในท้ายฤดูกาลดังกล่าว
4. ยูเวนตุส
คนไม่ค่อยพูดถึงช่วงเวลาของเขาที่ อิตาลี มากนัก แต่อันที่จริง เตเบซ ย้ายเข้ามาในช่วงเวลาที่พีคสุดขีดของสโมสรเลยก็ว่าได้
กองกลางมีทั้ง ป็อกบา, วิดัล และ ปีร์โล แนวรับมี คิเอลลินี, บาซาญี และ โบนุชชี ส่วนแนวรุกก็มีเขานี่แหละ
ฤดูกาลที่สอง เขาเรียกได้ว่าระเบิดฟอร์มอย่างจริงจังด้วยการเป็นกำลังหลักพาทีมคว้าแชมป์ลีกและโคปา อิตาเลีย แถมยังได้เข้าชิง แชมเปี้ยนส์ลีก กับ บาร์เซโลนา อีกด้วย
5. โบคา จูเนียร์ส
เขากลับมาปิดจ็อบที่สโมสรเก่าด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ลีกและแชมป์บอลถ้วย ก่อนที่เขาจะถูกล่อตาล่อใจด้วยเงิน หยวน ใรช่วงปลายปี 2016
6. ไปลุยลีกจีน
เตเบซ ยอมรับว่ารู้สึกเจ็บปวดที่ต้องแถลงต่อแฟนๆว่าเขากำลังจะย้ายออกไปอีกครั้ง เพื่อไปเล่นในลีกจีนกับ เซี่ยงไฮ้ เซิ่นหัว พร้อมรับค่าเหนื่อยกว่า 600,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
แต่ผลงานในสนามชี้ชัดว่าเขาย้ายมาเพราะเงิน ไม่ใช่เพราะฟุตบอล โดยที่เจ้าตัวทำได้แค่ 4 ประตูจาก 16 เกมและแทบจะเดินเล่นอยู่แล้วก็ว่าได้
หนึ่งปีผ่านไป สโมสรตัดสินใจยกเลิกสัญญากับเขาและมัดโบว์ส่ง เตเบซ กลับไปยัง อาร์เจนตินา เป็นรอบที่สาม
7. โบคา จูเนียร์ส
"ผมคิดเสียว่ามันเป็นการไปพักร้อน 7 เดือน และอันที่จริงเมื่อเครื่องแลนดิ้ง ผมก็แทบรอไม่ไหวที่จะได้กลับมา โบคา แล้ว" เตเบซ กล่าวกับสื่อหลังเปิดตัวกับทีมเก่าของตัวเองอีกรอบ
เมื่อกลับมาด้วยใจ เตเบซ คืนฟอร์มช่วยทีมคว้าแชมป์ลีกได้อีกสองสมัย ก่อนที่จะประกาศอำลาทีมอีกครั้งในปี 2021 ด้วยเหตุผลทางด้านสภาพร่างกายที่ถดถอยและการต้องการใช้เวลากับครอบครัว
8. กุนซือ เตเบซ
หลังแยกทางกับ โบคา ได้ไม่นาน เขาได้แย้มเล็กๆว่าคิดถึงฟุตบอลและอยากจะกลับมาใจจะขาด แต่จนแล้วจนรอดมันก็ไม่เกิดขึ้น
ล่าสุด เขาเปิดตัวกับ โรซาริโอ ในฐานะผู้จัดการทีมคนใหม่ที่ต้องแบกรับแรงกดดันเป็นอย่างมากเพราะทีมของเขาในตอนนี้ฟอร์มกำลังแย่จนกู่ไม่กลับพร้อมนอนจมอันดับ 23 จาก 28 ทีม
ต่อจากนี้ก็คงได้แต่มาคอยดูกันว่า ความดุดันของเขาในสนามจะถูกแปรเปลี่ยนไปใช้ข้างสนามได้มากน้อยเพียงใดเชียว