ชีวิตของ “วิลเลี่ยน” บนวัย 34 ปี  - FEATURE

Nottingham Forest v Fulham FC - Premier League
Nottingham Forest v Fulham FC - Premier League / James Williamson - AMA/GettyImages
facebooktwitterreddit

วิลเลี่ยน กองกลางชาวบราซิลของฟูแล่ม กลับมาสู่พรีเมียร์ ลีก อีกครั้ง หลังจากช่วงเวลาประมาณ 11 เดือนกับการไปเล่นฟุตบอลในประเทศบราซิล บ้านเกิดของเขาจบลงอย่างวุ่นวาย และสะเทือนใจเขาอย่างยิ่ง เมื่อเขาต้องย้ายทั้งครอบครัวกลับมาลอนดอนด้วยเหตุผลที่เขาโดน“ขู่ฆ่า” จากแฟนบอลโครินเธียนส์ สโมสรของเขาเอง

ย้อนกลับไปประมาณ 1 ปีก่อนหน้านี้ประมาณเดือนกรกฎาคม 2021 วิลเลี่ยน แสดงความชัดเจนในตนเองว่าเขาอยากย้ายออกจากอาร์เซนอล หลังจากเซ็นสัญญามาร่วมทีมได้เพียงฤดูกาลเดียว แต่ผลงานของเขากลับสวนทางกับความคาดหวัง เขาเปิดตัวได้สวยในแอตซิสต์แรกในเกมเปิดสนามกับฟูแล่ม แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา วิลเลี่ยน เวอร์ชันอาร์เซนอล ไม่สามารถไปได้ถึงระดับที่วิลเลี่ยนในสีเสื้อของเชลซี เป็นได้อีกเลย จนกระทั่งย้ายออกจากทีมในแบบ ไปไม่เสียค่าตัว ออกก็ไม่ได้ค่าตัว สำหรับอาร์เซนอล นับเป็นดีลน่าผิดหวังดีลหนึ่ง

การกลับมาสู่ ฟูแล่ม ด้วยสัญญาหนึ่งปี เป็นการเริ่มต้นใหม่ในช่วงท้ายอาชีพนักฟุตบอล และเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับชีวิตหลังจากเลิกเล่นฟุตบอล เมื่อเขาได้มีการสัมภาษณ์กับ ดิ แอตเลติก ว่าเขาเองมีความมุ่งมั่นอยากเขาสู่วงการเอเยนต์ หลังการเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ เหมือนที่นักเตะหลายคนทำงานนี้อยู่ (อย่างเช่น เดโก้ ซูซ่า อดีตนักเตะบาร์เซโลน่า และเชลซี ซึ่งเป็นเอเยนต์ดูแลราฟินญ่า ที่ตอนนี้ลงเล่นกับบาร์เซโลน่า) และแน่นอนว่า ฟุตบอล กับยุโรป เป็นหนึ่งในแหล่งของโอกาสในการเรียนรู้มากมายที่เขาต่อยอดออกไปได้อีกมากมาย บนวัย 33 ปี ที่การเล่นฟุตบอลเพื่อความสำเร็จ อาจไม่ใช่เป้าหมายสำคัญที่สุดเท่ากับการเล่นฟุตบอลได้ต่อเนื่องในทุกสัปดาห์ในระดับลีกสูงสุดบนพื้นฐานของความปลอดภัยของครอบครัวที่เขารัก

“ผมอยากเป็นเอเยนต์นักฟุตบอล ผมกำลังเริ่มต้นการเรียนรู้มันอย่างช้า ๆ เพราะผมเองยังคงเป็นนักเตะอาชีพ แต่ผมก็มองหางานใหม่หลังจากเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพเอาไว้แล้ว ผมคิดว่าผมก็มีประสบการณ์ในวงการฟุตบอล และมันทำให้ผมมีความเป็นมืออาชีพอย่างมาก ซึ่งนั่นหาได้ยากในนักเตะอายุน้อย และผมต้องการช่วยเหลือพวกเขาในการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่พวกเขาต้องได้เจอในการเป็นนักเตะอาชีพ”

วิลเลี่ยนเริ่มต้นกับ โครินเธียนส์ ก่อนเข้าสู่ยุโรปกับสโมสร ชัคตาร์ โดเนสท์ สโมสรในยูเครน ตอนอายุ 19 ปี ตามด้วยอันจิ มาคัชคาล่า หลังจากนั้นก็ย้ายมาเล่นกับเชลซี และย้ายมาสู่อาร์เซนอลในปี 2020 ซึ่งเป็นไปตามเส้นทางที่เขาหวังไว้ เริ่มต้นกับลีกรองสร้างผลงานให้ดีที่สุด และก้าวเข้าสู่ลีกใหญ่ ซึ่งเขาสมหวังกับเรื่องนี้ โดยหนึ่งในเรื่องคลาสสิกของการย้ายทีมเรื่องหนึ่งคือการ ตัดสินใจเลือกเชลซีในปี 2013 ทั้งที่ตัวเขาอยู่ที่สนามซ้อมของสเปอร์ส กำลังจะเซ็นสัญญาเป็นนักเตะใหม่ของสเปอร์สแล้ว

Willian
Crystal Palace v Chelsea FC - Premier League / Sebastian Frej/MB Media/GettyImages

“เวลานั้นผมอยู่ในลอนดอนประมาณ 2 สัปดาห์ รอคอยข้อเสนอจากสเปอร์ส ซึ่งตอนนั้นพวกเขากำลังจะปล่อยตัว แกเร็ธ เบล ออกจากทีม ผมได้ข้อเสนอจากสเปอร์ส, ลิเวอร์พูล ส่วน เชลซี ผมไม่แน่ใจนัก แม้จะทราบว่าพวกเขาก็สนใจในการเซ็นสัญญาผมเช่นกัน สุดท้ายผมเดินทางไปสนามซ้อมของสเปอร์ส ผมกำลังจะเซ็นสัญญากับพวกเขา แต่เอเยนต์ผมก็โทรมาหาผมแล้วบอกว่า เชลซี อยากได้ตัวผมไปร่วมงานด้วย ผมสนใจไหม ผมตัดสินใจเลือกไปเชลซี ผมออกจากสนามซ้อมสเปอร์ส ที่ซึ่งผมตกลงอะไรไปเกือบจบหมดแล้ว และเซ็นสัญญากับเชลซี มันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตการเล่นฟุตบอลของผม”

ปัจจุบัน วิลเลี่ยน ยังคงอยู่ภายใต้การดูแลของ สปอร์ต อินเวสต์ ยูเคส ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทที่บริหารงานโดย เคีย คูรับเชียน เอเยนต์ชาวอิหร่านผู้ซึ่งใช้ชีวิตหลายช่วงเวลาอยู่ในอังกฤษ และกว้างขวางในวงการฟุตบอลอย่างยิ่ง และนั่นจะทำให้เขาได้การเรียนรู้อะไรอีกมากในเส้นทางเอเยนต์ในอนาคต และ คูรับเชียน คือคนที่ดีลโดยตรงในการเซ็นสัญญาเขาสู่อาร์เซนอลซึ่งมีการระบุว่าเขาได้ค่าเหนื่อย 200,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ในสัญญาสามปี ซึ่งถึงแม้ว่าสุดท้าย วิลเลี่ยน จะจบมันด้วยเวลาเพียงหนึ่งปี แต่มันก็ดีลที่ใหญ่มากสำหรับนักเตะอายุ 30+ ขึ้นไป และเขายืนยันว่าการเลือกครั้งนั้นเป็นการเลือกที่เหมาะสม และตรงกับความต้องการของตนเอง แม้ว่ามันจะต้องไปเริ่มต้นจากการคุยกับครอบครัวให้เข้าใจก่อนกับการจะสูญเสียรายได้ก้อนใหญ่สำหรับตัวเขา และครอบครัว

“มันเป็นการคุยกับภรรยาที่ยาวมากเลยล่ะ แน่นอนใครก็บอกว่าผมบ้าไปแล้ว กับการจะทิ้งโอกาส และรายได้มหาศาล แม้กระทั่งคนบราซิลยังบอกเองเลยว่าอย่ากลับมา อย่ากลับมา อยู่ต่อไป ผมบ้าไปแล้ว แต่มันเป็นสิ่งที่ผมต้องการ ผมอยากเล่นให้โครินเธียนส์ ทีมที่ผมเติบโตขึ้นมาตอนเด็ก มันเป็นทางเลือกที่ผมต้องการ”

“ผมอาจเป็นคนเดียวเลยก็ได้มั้งที่เลือกทำแบบนี้ กับการออกจากทีม หากเป็นผู้เล่นคนอื่นอาจจะเลือกอยู่กับทีมต่อไปจนกระทั่งจบสัญญา แต่ผมไม่ใช่แบบนั้น เงินมันไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในโลก ผมไม่มีความสุข ไม่มีแรงจูงใจอยากไปสนามซ้อม ไม่ต้องการอยู่ต่อไป ผมก็ต้องย้าย ปีนั้นเราเล่นกันท่ามกลางการไม่มีผู้ชมเข้าสนามด้วยโควิด-19 ผมแทบไม่ได้เจอกับแฟนบอลอาร์เซนอลเลย บางทีผมอาจจะอยากได้เสียงเชียร์จากแฟนบอลรอบสนามก็ได้ มันเป็นสิ่งที่ขาดหายไปท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบากสำหรับทุกคนในโลก การย้ายทีมแล้วลงเล่นในบรรยากาศที่ไม่มีผู้ชมมันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย”

FBL-ENG-PR-LEICESTER-ARSENAL
FBL-ENG-PR-LEICESTER-ARSENAL / RUI VIEIRA/GettyImages

“วันสุดท้ายที่ผมออกจากอาร์เซนอล ผมได้คุยกับ มิเคล อาร์เตต้า ขอบคุณที่เลือกให้ผมย้ายมาที่อาร์เซนอล ขอบคุณที่ทำอะไรหลายอย่างให้กับผม เขาเป็นผู้จัดการทีมที่ดี และผมได้รับความเคารพอย่างมากที่นั่น พวกเขามีนักเตะที่ดี และผมเชื่อว่าทีมประสบความสำเร็จได้ในฤดูกาลนี้”

วิลเลี่ยน กลับไปบราซิลรับเสื้อหมายเลข 10 กับสโมสรเก่าของเขาวัยเด็ก แน่นอนกับคนที่ผ่านการคว้าแชมป์ในยุโรปมากมาย พร้อมกับดีกรีทีมชาติบราซิล 70 เกม ผ่านฟุตบอลโลกมาแล้ว2 สมัย ความคาดหวังในตัวของเขาสูงมาก และ 45 เกม หนึ่งประตู 6 แอตซิสต์ มันไม่มากพอ และผลงานของทีมก็สวนทาง และนั่นนำมาซึ่งการขู่ฆ่ามากมายผ่านทางสังคมออนไลน์ ที่ทุกวันนี้ “ออนไลน์” คือหายนะสำหรับนักกีฬาอาชีพทุกคน หากผลงานของคุณเป็นที่ไม่น่าพอใจสำหรับคนเหล่านั้น 

“ผมไม่คิดว่าตัวเองเล่นไม่ดีนะ จำนวนประตู กับ แอตซิสต์ มันไม่ได้บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของเกมที่ผมลงเล่น แต่ผมมีปัญหากับการปรับตัวจากการย้ายประเทศ ในบราซิลเล่นฟุตบอลแข่งกันทุก 3 วัน และผมแทบไม่มีเวลาได้พักเลย แน่นอนมันส่งผลต่อฟอร์มการเล่นโดยตรง ผู้คนมองที่จำนวนประตู และแอตซิสต์เป็นหลัก แต่ไม่ได้มองว่าผมเล่นเป็นอย่างไร และตัดสินผมไปแล้ว วันไหนผมไม่มีสองสิ่งนั้นหมายถึง “ผมดีไม่พอ” ทั้งที่อีกคนอาจจะจับบอลได้ทั้งเกม 5 ครั้ง แต่ยิงประตูได้ คนนั้นฟอร์มดี ยอดเยี่ยมมาก นั่นละฟุตบอลยุคนี้”

“ผมยอมรับว่าผมคิดถึงการย้ายออกจากทีม และคิดถึงการกลับมาเล่นในอังกฤษ เพื่อนหลายคนผมอยู่ที่นี่ พวกเขาชวนให้ผมกลับมาที่นี่ แน่นอนผมรู้สึกพรีเมียร์ ลีก เป็นอย่างดี ผมคุ้นชินกับลอนดอน ครอบครัวผมก็ชอบที่นี่ ดังนั้นทุกอย่างที่ผมรักอยู่ที่ลอนดอน เพราะแม้ว่าที่นี่ ทีมจะพ่ายแพ้ แต่เรายังออกไปข้างนอกได้บ้าง ไม่เหมือนกับที่บราซิล หากทีมเราพ่ายแพ้ หรือคุณผลงานแย่ คุณต้องเก็บตัวเงียบ และอย่าออกไปไหนทั้งสิ้น”

Edgar Camargo, Willian Borges
Deportivo Cali v Corinthians - Copa CONMEBOL Libertadores 2022 / Gabriel Aponte/GettyImages

หลังการถูกสังคมออนไลน์ถล่ม และลามปามมาจนถึงในสนามแข่ง ที่สร้างความกังวลใจให้กับเขา และครอบครัวอย่างยิ่ง เขาตัดสินใจเด็ดขาดที่จะลาบราซิลกลับมายังอังกฤษ แน่นอนด้วยอายุ 34 ปี เขาไม่ใช่วิลเลี่ยนที่เนื้อหอมแบบเมื่อเกือบสิบปีที่แล้วอีกต่อไป เขากลับมาลอนดอน มองหาโอกาสในการลงเล่นกับสักสโมสรในเมืองแห่งนี้ สุดท้ายเขาได้รับโอกาสกับฟูแล่ม น้องใหม่หน้าเดิมของพรีเมียร์ ลีก ที่ซึ่งให้เขาเริ่มต้นกับการทดสอบความสามารถ และสมรรถภาพร่างกายเป็นเวลานานนับสัปดาห์ และมันก็แลกมาด้วยสัญญาหนึ่งปีกับทีม ที่สามารถต่อสัญญาเพิ่มได้อีกปี ขึ้นกับผลงานของเขาโดยตรง

“ผมมีเป้าหมายในการเล่นกับฟูแล่มคือการช่วยทีมให้อยู่ต่อไปในพรีเมียร์ ลีก ผมต่อสู้เพื่อสิ่งนี้ ผมไม่อยากเห็นฟูแล่มขึ้นชั้น แล้วก็ตกชั้นวนไปมาแบบนั้น นั่นคือเป้าหมาย ก่อนเซ็นสัญญาผมได้คุยกับ มาร์โก ซิลวา ผู้จัดการทีม ผมต้องการอะไร เขาต้องการผมอยู่ตรงไหนในทีม สุดท้ายเขาอยากเห็นผมเล่นทางด้านขวา ผมก็ไม่มีปัญหา เช่นเดียวกับที่ผมต้องการพิสูจน์ตัวเองกับการเล่นในระดับสูงว่าผมการกลับมาพรีเมียร์ ลีก และสามารถลงเล่นได้อีก 2-3 ปี ผมอาจจะเล่นถึง 40 ปีก็เป็นไปได้ ในเมื่อ ติอาโก้ ซิลวา ยังเล่นอยู่กับเชลซี และตอนนี้เขาอายุ 38 ปีแล้ว ทำไมผมจะทำไม่ได้ล่ะ”

ชีวิตที่เริ่มต้นจากฟุตบอลข้างถนน บินข้ามทวีปมาเจอกับความหนาวระดับติดลบในยูเครน ก้าวเข้าสู่ลีกใหญ่ในอังกฤษ ประสบความสำเร็จมากมาย ชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ ประดับตัวมากมาย มาถึงวันนี้ วิลเลี่ยน ไม่ได้มีเงินทองก้อนใหญ่แบบที่เคยได้รับ ไม่มีเกียรติยศใด ๆ อย่างที่เคยมุ่งมั่น แต่วันนี้ สิ่งที่ได้รับมาคือความสบายใจในการกลับมาในที่คุ้นเคยบนเป้าหมายใหม่ของตนเอง และอนาคตที่เริ่มมองเห็นเส้นทางใหม่ต่อไป

นี่คือเรื่องราวของเขาคนนี้ วิลเลี่ยน บอร์เจส ดา ซิลวา บนวัย 34 ปี