เจมี วาร์ดี้: ตามรอย 1 ในท็อป 20 ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาล พรีเมียร์ลีก
คงไม่มีแฟนบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ คนใดไม่เคยได้ยินชื่อ เจมี วาร์ดี้ ยอดกองหน้าที่เรียกได้ว่าเตรียมจะก้าวขึ้นเป็นตำนานของ เลสเตอร์ ซิตี้ คนต่อไป ซึ่งแน่นอนเขามีชื่อเป็นหนึ่งในดาวเตะที่ทำประตูได้มากที่สุดในท็อป 20 แข้งดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของยุค พรีเมียร์ลีก อย่างไม่ต้องสงสัย
วันนี้เราจะพาแฟน ๆ 90Min ไปรับชมความเป็นมาของหัวหอกที่เรียกได้ว่าเริ่มต้นจากจุดต่ำสุดจนประสบความสำเร็จอย่างสูงในอาชีพการค้าแข้งกับดีกรีการเป็น "หนึ่งในดาวซัลโวสูงสุดตลอดการยุค พรีเมียร์ลีก" อันดับที่ 17 เจมี วาร์ดี้...
จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ของชายผู้ยิ่งใหญ่
เจมี ริชาร์ด วาร์ดี้ เกิดในวันที่ 11 มกราคมปี 1987 ณ เมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ เติบโตมาในครอบครัวที่ฐานะค่อนข้างยากจน ซึ่งในอดีตแม้เจ้าตัวจะรักการเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่เด็กแต่ด้วยสถานะทางการเงินที่ไม่ดีเขาจึงต้องออกไปทำงานหาเงินช่วยเหลือครอบครัวตั้งแต่ยังเด็กด้วยการเข้าทำงานในโรงงานขาเทียมในละแวกบ้าน พร้อมกับเข้าไปเป็นเด็กปั้นของสโมสร เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ กระทั่งอายุ 16 ปี วาร์ดี้ ตัดสินใจเอาจริงเอาจังในอาชีพพ่อค้าแข้งมากขึ้นด้วยการเซ็นสัญญาอาชีพกับทีมนอกลีกอย่าง สต๊อคบริดจ์ สตีล ก่อนที่ปีต่อมาจะย้ายไปเล่นให้กับ ฮาลิแฟ็กซ์ โดยในปี 2010 เจ้าตัวทำผลงานได้อย่างโดดเด่นเหมาคนเดียว 25 ประตูคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสโมสร และถูก ฟลีทวูด ทาวน์ ทีมระดับคอนเฟอเรนซ์ลีกกระชากตัวไปร่วมทีมในช่วงหน้าร้อนปี 2011
เพียงแค่ฤดูกาลแรกของเขากับต้นสังกัดใหม่ วาร์ดี้ ซัดไป 31 ประตูพาทีมคว้าแชมป์ลีกพร้อมพ่วงรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของฤดูกาล ซึ่งผลงานอันโดดเด่นนี้เองที่ไปเตะตาแมวมองของ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ณ เวลานั้นยังเล่นอยู่ใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ เข้าอย่างจัง
ก้าวสู่ความสำเร็จกับ เลสเตอร์ ซิตี้
1 ล้านปอนด์คือจำนวนเงินที่ เลสเตอร์ จ่ายให้กับ ฟลีทวูด ทาวน์ เพื่อแลกกับดาวยิงวัย 25 ในปี 2012 ซึ่งปีแรกของเขากับทีมนั้นผลงานถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานพอสมควรยิงไปได้เพียง 4 ประตูใน เดอะแชมเปี้ยนชิพ อย่างไรก็ตาม ไนเจล เพียร์สัน กุนซือ เลสเตอร์ ในตอนนั้น ยังคงเชื่อมั่นและใช้งานเขาเป็นหัวหอกตัวหลักให้กับทีมในฤดูกาลต่อมา แน่นอนว่า วาร์ดี้ ก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการระเบิดฟอร์มเก่งซัดไป 16 ประตูกับ 10 แอสซิสต์พา จิ้งจอกสยาม เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดในฐานะแชมป์เปี้ยนลีกรองในซีซั่น 2013/14
ฤดูกาล 2014/15 ปีแรกของเจ้าตัวบนลีกสูงสุด ทำผลงานไป 5 ประตูกับ 10 แอสซิสต์ให้กับต้นสังกัด จนกระทั่งจบซีซั่นในอันดับที่ 14 ก่อนที่ปีต่อมาการมาของ คลาดิโอ รานิเอรี จะสร้างประวัติศาสตร์พา เลสเตอร์ ซิตี้ ผงาดคว้าแชมป์ลีกมาครองได้อย่างพลิกความคาดหมาย ซึ่งผลงานของ วาร์ดี้ จัดว่าร้อนแรงสุด ๆ ที่ 24 ประตู แถมยังสร้างสถิติใหม่นักเตะที่ยิงประตูติดต่อกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก ที่ 11 เกมติดต่อกันพร้อมกวาดรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมมาครองแทบทุกสถาบันที่มีในประเทศ นั่นทำให้แฟนบอลทุกคนต่างรู้จักชื่อของชายคนนี้ในฐานะสุดยอดกองหน้าแห่งยุคคนหนึ่งในช่วงเวลาเพียงข้ามปีเท่านั้น
ปี 2016/17 แม้ผลงานส่วนตัวจะดร็อปลงไปบ้าง รวมถึงฟอร์มการเล่นของทีมที่ไม่สวยหรูเหมือนในซีซั่นก่อนแต่เขาก็ยังทำได้ถึง 15 ประตูรวมทุกรายการ ถัดมาปี 2017/18 ยิงได้ 23 ประตู 2018/19 ซัดไป 18 ประตู และในฤดูกาล 2019/20 วาร์ดี กดไป 23 ประตูคว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุดในพรีเมียร์ลีกมาครองได้สำเร็จ จนกระทั่งเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาจัดไป 17 ประตูกับ 9 แอสซิสต์รวมทุกรายการพาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ติดมือมาด้วยการเบียดยักษ์ใหญ่อย่าง เชลซี ไปได้แบบสุดมันส์เมื่อท้ายฤดูกาลที่ผ่านมา
วัย 34 ปีกับฟอร์มที่ยังร้อนแรง
แม้ในฤดูกาลนี้ เจมี วาร์ดี้ จะมีอายุปาเข้าไป 34 ขวบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งในฐานะนักฟุตบอลอาชีพก็ถือว่าอยู่ในช่วงบั้นปลายแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเส้นทางของเขานั้นยังไปได้อีกยาวไกล เพราะฟอร์ม ณ ปัจจุบันที่ผ่านเกมลีกไปเพียง 8 นัดแต่กลับยิงไปได้แล้วถึง 7 ประตูและไม่มีวี่แววว่าจะหยุดเพียงเท่านี้ ซึ่งจนถึงเวลานี้ยิงรวมกันไปแล้วถึง 125 ลูกใน พรีเมียร์ลีก มีชื่อติดอยู่ในอันดับที่ 17 ของดาวยิงแห่งลีกสูงสุดเมื่องผู้ดีนับตั้งแต่ปี 1992 แน่นอนว่าหากเขายังคงรักษาสภาพร่างกายรวมถึงฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ก็มีโอกาสสูงที่จะบวกสถิติเพิ่มขึ้นไปอีกในอนาคตได้สบาย ๆ
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น!*ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด