“จาค็อบ แรมซีย์” ความมุ่งมั่น การต่อสู้ และความโชคดี - FEATURE
หากจะมองไปถึงเรื่องราวของดาวรุ่งในพรีเมียร์ ลีก ที่สามารถแจ้งเกิดได้ในลีกสูงสุดของอังกฤษก็ต้องบอกว่ามีให้ได้เห็นกันทุกฤดูกาล บางคนก้าวขึ้นมาแบบมีขั้นมีตอนตามรูปแบบ เริ่มจากทีมสำรอง ได้โอกาสประปราย และก็มาเล่นในชุดใหญ่ได้สำเร็จ บางคนก็มาเหมือนกับ “ปรากฏการณ์” ที่โผล่ขึ้นมาแล้วสามารถคว้าโอกาสได้เลยทันที หลังจากนั้นชีวิตของพวกเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป อย่างเช่น เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ของลิเวอร์พูล หรือว่า บูคาโย่ ซาก้า ของอาร์เซนอล
แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว นักเตะดาวรุ่ง ในฤดูกาล 2021-2022 ที่สร้างผลงานได้น่าสนใจมากคนหนึ่ง และยังไม่ค่อยได้รับการพูดถึงมากนักในบ้านเรา มองไปที่เรื่องราวของ จาค็อบ แรมซีย์(20 ปี สัญญาถึงกลางปี 2025) กองกลางดาวรุ่งที่เกิดในเมือง เบอร์มิงแฮม เติบโตมาพร้อมกับการได้เห็น แอสตัน วิลล่า มาตั้งแต่เด็ก และแน่นอนมาวันนี้เขาคือกองกลางความหวังใหม่ของทัพ “เดอะ วิลเลี่ยน” ในฤดูกาลนี้ เป็นหนึ่งในเด็กที่น่าสนใจไม่น้อย
ที่ผ่านมา แอสตัน วิลล่า เป็นทีมที่เรียกว่า “ทีมเคยใหญ่” พวกเขาเป็นเพียงไม่กี่สโมสรในอังกฤษที่คว้าแชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้สำเร็จ ในชื่อของ ยูโรเปี้ยน คัพ เมื่อปี 1982 สโมสรที่อายุ 148 ปี เป็นหนึ่งในทีมเก่าแก่ที่มีแฟนบอลมากพอสมควร แม้แต่ในประเทศไทย แฟนบอลของ “สิงห์ผงาด” ก็มีอยู่ไม่น้อย แม้ว่าระยะหลังอาจจะเงียบเหงาไปบ้างโดยเฉพาะในช่วงที่พวกเขาพลาดตกชั้นในปี 2016 ก่อนที่จะวนเวียนในลีกรองมานานถึง 3 ปี ที่พวกเขากลับมาพร้อมกับเจ้าของสโมสรใหม่ อย่าง นาสเซฟ ซาวิริส เจ้าของสโมสรที่เป็นมหาเศรษฐีชาวอียิปต์ และ เวส อีเดนส์ ซึ่งเป็นเศรษฐีอเมริกันมาร่วมกันลงทุน ที่นับจากปี 2018 เป็นต้นมา พวกเขาลงทุนไปมากกว่า 300 ล้านปอนด์เรียบร้อยแล้ว กับเป้าหมายในการยกระดับทีมให้กับไปเป็นแถวหน้าของวงการอีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันเรื่องของทีมเยาวชน สโมสรก็ยังคงมีการพัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
แจ็ค กรีลิช [26 ปี สัญญาถึงกลางปี 2027] อาจจะย้ายออกจากทีมไปแล้ว แต่เขายังคงเหลือ “แรงบันดาลใจ” มากมายให้กับเด็กเยาวชนของ แอสตัน วิลล่า ที่ได้เห็นรุ่นพี่ที่เติบโตจากระบบเยาวชนของทีม ก้าวมาเล่นทีมชุดใหญ่ กลายเป็นกัปตันทีมของสโมสร กลายเป็นนักเตะทีมชาติอังกฤษ และกลายเป็นนักเตะอังกฤษคนแรกในประวัติศาสตร์ที่มีค่าตัว 100 ล้านปอนด์ กับการย้ายไปร่วมงานกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และหนึ่งในนั้นคือ แรมซีย์ ซึ่งต้องการเป็นแบบรุ่นพี่ของเขาให้ได้ในสักวัน
แรมซีย์ เข้าสู่ระบบเยาวชนของ แอสตัน วิลล่า มาตั้งแต่ปี 2007 ตอนนั้นเขาเพิ่งอายุเพียง 6 ปีเท่านั้น และก็เข้าสู่การพัฒนา และไต่ระดับการเล่นเรื่อยมาจนมาถึงทีมระดับสำรองที่ซึ่งเขาได้รับรางวัล นักเตะเยาวชนยอดเยี่ยมของสโมสรในฤดูกาล 2018-2019 พร้อมกับสัญญานักเตะอาชีพอีก 3 ปีครึ่ง เป็นรางวัลของการทำงานที่ดีของตนเอง และทีมเลือกส่งเขาออกจากทีมไปเล่นในแบบยืมตัวกับ ดอนคาสเตอร์ โรเวอร์ส เพื่อหาประสบการณ์เพิ่มเติม แต่น่าเสียดายที่ในฤดูกาลนั้นมีปัญหาเรื่องการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เขาถูกส่งกลับมาในช่วงหลังจากกลับมารีสตาร์ทในช่วงท้ายฤดูกาลนั้น เนื่องจาก ลีก วัน ตัดสินใจตัดจบการแข่งขัน แต่นั่นกลับกลายเป็นผลที่ดี เพราะในฤดูกาลต่อมา ดีน สมิธ ซึ่งเห็นความสามารถของเด็กคนนี้ก็ตัดสินใจให้โอกาสกับเขาในเกมพรีเมียร์ ลีก และกราฟชีวิตการเป็นนักเตะของเขาก็ได้เวลาไต่ทะยาน”
“มองย้อนกลับไปผมเซ็นสัญญาเข้าทีมอายุต่ำกว่า 8 ปีกับ แอสตัน วิลล่า เป้าหมายคือสักวันหนึ่งเมื่อโตขึ้นผมจะลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของสโมสรให้ได้ พรีเมียร์ ลีก คือลีกที่ดีที่สุดในโลก และตอนนี้ผมกำลังได้ทำมันแล้ว ผมเชื่อว่าตัวเองจะดีกว่านี้ได้อีกแน่ และผมกำลังอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง ทำงานกับทีม ฟังในสิ่งที่โค้ชสอน เพื่อก้าวไปสู่การเป็นนักเตะระดับชั้นนำให้ได้”
“ผมต้องขอบคุณเขาสำหรับโอกาสในการเล่นในพรีเมียร์ ลีก ดีน สมิธ เป็นแฟนบอลแอสตัน วิลล่า และเขาก็ทราบอยู่แล้วว่าการได้ก้าวขึ้นมาจากทีมเยาวชนในฐานะของเด็กท้องถิ่น เป็นแฟนบอลทีมนี้ และมาถึงการลงเล่นให้ทีม มันมีค่ามากแค่นั้น เขาชื่นชมผมมากจากสิ่งที่ผมได้เห็นในสังคมออนไลน์ มันสร้างความมั่นใจให้กับผม”
ฤดูกาล 2020-2021 แรมซีย์ ประเดิมสนามในเกมพรีเมียร์ ลีก ครั้งแรกในเกมพบกับฟูแล่ม ก่อนที่อีกสามเดือนต่อมาเขาจะลงเล่นเป็นตัวจริงครั้งแรกในเกมพบกับ วูลฟ์สแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส เมื่อทีมมีปัญหานักเตะกองกลางบาดเจ็บหลายคน และหลังจากนั้นชื่อของเขาจะอยู่ในทีมตลอดเวลาเกือบทั้งฤดูกาลลงตัวจริงบ้าง นั่งสำรองบ้าง พร้อมกับการจบปีแรกด้วยการมีส่วนถึง 25 เกมในฤดูกาลนั้น แน่นอนว่าทีมมองเห็นศักยภาพ และไม่รอช้าต่อสัญญาใหม่จำนวน 4 ปีครึ่งทันที
“ไม่หรอก ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองกล้าหาญอะไรเลยหรอกนะ ตอนเลือกส่งเขาลงสนามไป” ดีน สมิธ กล่าวเกี่ยวกับการเลือกส่ง แรมซีย์ ลงสนามในฐานะตัวจริงในเกมกับ วูลฟ์ส
“ผมเพียงแค่ดูมาตรฐานการเล่นของนักเตะทุกคน ถ้าเขาทำได้ดี เขาก็ควรได้โอกาส เรื่องมันก็มีเท่านั้น “เจเจ” (ชื่อเล่นของ จาค็อบ แรมซีย์) ทำงานหนักกับการซ้อม และเขาทำได้น่าพอใจ แนวทางของผมในการทำทีมคือ ถ้าลงซ้อมได้ดี โอกาสในการลงสนามแข่งจริงมันก็มีเช่นกัน”
ฤดูกาลแรกผ่านไป ฤดูกาลที่สอง ความเชื่อมั่นของสมิธ ที่มีต่อนักเตะดาวรุ่งของเขาที่ก้าวไปติดทีมชาติอังกฤษชุดอายุต่ำกว่า 21 ปี ได้เป็นรางวัลตอบแทนผลงานอีกครั้งก็มากขึ้นตาม เขายิงประตูแรกในพรีเมียร์ ลีก ได้ในเกมพบกับ อาร์เซนอล ที่แม้สุดท้ายทีมจะแพ้ แต่เขาก็นับหนึ่งได้แล้ว ในฐานะกองกลางของทีม แต่แล้วการเปลี่ยนแปลงก็ยังคงเกิดขึ้น ผลงานของวิลล่ากับการลงทุนในฤดูกาลนี้ “เดิมพันสูงยิ่งกว่าเดิม” แม้พวกเขาตัดสินใจปล่อยแจ็ค กรีลิช แลกมาด้วยนักเตะอย่าง เอมิเลียโน่ บูเอนเดีย, เลออน ไบลี่ รวมถึง แดนนี่ อิงคส์ เพื่อสร้างผลงานให้ไปได้ไกลกว่าเดิม พวกเขามีช่วงที่แพ้ต่อเนื่อง 5 เกมติดต่อกัน และนั่นทำให้ ดีน สมิธ หมดโอกาสแก้ตัวอีกต่อไป และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตำนานกองกลางทีมชาติอังกฤษ และ ลิเวอร์พูล ก้าวเข้ามาสู่ทีมในฐานะนายใหญ่คนใหม่ ที่ซึ่งยังคงมองเห็นเด็กหนุ่มวัย 20 ปี คนนี้ จะกลายเป็นสตาร์ดังของพรีเมียร์ ลีก ในอนาคต
“สตีวี่ จี” ใช้เวลาในการปรับทีมไม่นานนัก เขาเลือกให้แรมซีย์ ถอยเป็นเล่นกองกลางภายใต้ระบบ 4-4-2 หรือระบบ 4-4-2 แบบไดมอนต์ ที่พร้อมขับเคลื่อนเกมไปข้างหน้าด้วยศักยภาพของการเป็นกองกลางตัวรุกได้อีกคน ยิ่งพวกเขาได้ตัว ฟิลิเป้ คูตินโญ่ เข้ามาเสริมทีมอีกคน “สิงห์ผงาด” กลายเป็นทีมที่มีแนวรุกอันตรายที่สุดทีมหนึ่งในลีกทันที โดยมี แรมซีย์ คือนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในทีมตัวจริง
“ผมคิดว่าเขาเล่นได้ดีมาก มีความเป็นมืออาชีพ เป็นเด็กอายุน้อยที่กำลังมีโอกาสก้าวไปสู่ผู้เล่นระดับชั้นนำ เขาแสดงให้เห็นด้วยผลงานที่ทำให้คนต่างพูดถึงเขามากมาย จากเด็กท้องถิ่น สู่การเป็นนักเตะในทีมชุดใหญ่ของแอสตัน วิลล่า สำหรับผมมันเป็นเรื่องที่น่ายินดีเสมอ ที่ได้เจอกับเรื่องราวแบบนี้” เจอร์ราร์ด กล่าว
แรมซีย์ ลงเล่นไปแล้วถึง 25 เกมในฤดูกาลนี้ พร้อมทำไปแล้ว 5 ประตูกับ 1 แอตซิสต์ พร้อมกับการลงเล่นเป็นตัวจริงในทุกสัปดาห์ของพรีเมียร์ ลีก ที่เขาหวังว่าเส้นทางนี้จะไปได้สวย และเป้าหมายต่อไปที่รออยู่คือ เกียรติยศของทีมชาติ
“ผมคิดว่าปี 2021 เป็นปีที่ดีสำหรับผมมาก และหวังว่า 2022 มันจะเป็นแบบนั้นต่อไปและดีขึ้นกว่าเดิม ผมต้องการยึดตำแหน่งตัวจริงในทีม เป็นตัวหลักของทีมได้อย่างเหนียวแน่น อยากยิงประตู อยากทำแอตซิสต์ได้มากกว่าเดิม และแน่นอนฝันของผมคือก้าวเข้าสู่ทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่”
สองปีผ่านไปจากวันแรกที่ลงเล่นในพรีเมียร์ ลีก ความฝัน ที่มาพร้อมกับความพยายามของเขานำพาเขามาได้ไกลในจุดที่เยาวชนจำนวนมากอยากจะมาอยู่ในจุดเดียวกับเขา ที่เหลือคือความสม่ำเสมอ และอาจจะต้องพึ่ง “โชค” สักหน่อย ใครจะไปรู้ อีกไม่นานนี้ เจ้าของหมวกทีมชาติอังกฤษใบที่ 1,267 อาจจะเป็นชื่อของ จาค็อบ แรมซีย์ ก็เป็นได้