เรอัล มาดริด 1-0 ลิเวอร์พูล: ประเด็นหลังเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ ราชันชุดขาว เข้าวินสมัยที่ 14

Liverpool FC vs Real Madrid - UEFA Champions League final
Liverpool FC vs Real Madrid - UEFA Champions League final / Anadolu Agency/GettyImages
facebooktwitterreddit

การแข่งขัน: ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2021/22 รอบชิงชนะเลิศ
วันแข่งขัน: คืนวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2022
เวลาแข่งขัน: 02:00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน : เรอัล มาดริด 1-0 ลิเวอร์พูล
สนาม: สตาด เดอ ฟรองส์


1. รูปเกมที่เป็นไปตามคาด

Mohamed Salah
Liverpool FC v Real Madrid - UEFA Champions League Final 2021/22 / Chris Brunskill/Fantasista/GettyImages

ตลอด 90 นาทีในเกมวันนี้ ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายเปิดเกมบุกเข้าใส่ตามฟอร์มซึ่งก็เป็นไปตามที่หลาย ๆ คนคาดไว้ ส่วน เรอัล มาดริด แน่นอนว่าพวกเขายังคงยึดมั่นในแทคติคเดิมที่ใช้มาตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อต้องเจอทีมคู่แข่งที่มีเกมรุกดุดันและแข็งแกร่งนั่นคือการเน้นแพ็คแนวหลังและอาศัยความเฉียบขาดของแนวรุกในการเล่นเกมสวนกลับ โดยตลอดทั้งเกม หงส์แดง สร้างโอกาสจบสกอร์ได้มากถึง 22 ครั้ง ในขณะที่ ราชันชุดขาว ยิงไปเพียง 3 ครั้งเท่านั้น แต่พวกเขาก็อาศัยความเฉียบขาดเปลี่ยนโอกาสอันน้อยนิดให้เป็นประตูชัยและคว้าแชมป์มาครองเป็นสมัยที่ 14 ได้ในที่สุด

2. ราชัน เกือบนำตั้งแต่ครึ่งแรก

Karim Mostafa Benzema, Alisson Becker
Liverpool FC v Real Madrid - UEFA Champions League Final 2021/22 / PressFocus/MB Media/GettyImages

เกมนี้มีประเด็นให้ได้พูดถึงกันเล็กน้อยในช่วงท้ายครึ่งแรก ที่มีจังหวะ เบนเซมา ส่งบอลสู่ก้นตาข่ายไปได้แต่ถูกจับเป็นลูกล้ำหน้าไปก่อน ซึ่งก็มาการถกเถียงกันต่าง ๆ นา ๆ เพราะก่อนที่บอลจะมาถึง เบนเซมา นั้น เฟเดริโก้ บัลบาเด้ เตะไปติดบล็อค ฟาบินโญ ทำให้เขาสัมผัสบอลเป็นคนสุดท้าย ซึ่งถ้าเป็นกฏเดิมลูกนี้จะไม่ล้ำหน้าทันทีแม้ว่า เบนเซมา จะยืนเหลื่อมอยู่ก็ตาม แต่สำหรับกติกาใหม่ผู้ตัดสินจะประเมินจากเจตนาของ ฟาบินโญ ว่าการสะกัดบอลกระดอนออกไปนั้นเป็นการ "เจตนาสะกัด" เหมือนกับเวลาที่ยิงไปติดเซฟผู้รักษาประตูหรือไม่ ถ้าเป็นการ "เจตนาสะกัด" ก็จะถือว่า เบนเซมา ยังคงรับบอลจาก บัลบาเด้ และกลายเป็นลูกล้ำหน้าไป

3. กูร์ตัวส์ แมน ออฟ เดอะแมทช์

Mohamed Salah, Thibaut Courtois
Liverpool FC v Real Madrid - UEFA Champions League Final 2021/22 / Catherine Ivill/GettyImages

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าเกมนี้ ลิเวอร์พูล หาโอกาสจบสกอร์ได้ถึง 22 ครั้งซึ่งเป็นการยิงตรงกรอบไปถึง 9 แต่ทั้งหมดนั้นไม่สามารถผ่านมือ ธีโบต์ กูร์ตัวส์ ไปได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งนายทวารชาวเบลเยียมรายนี้ช่วยเซฟจังหวะสำคัญ ๆ ทั้งลูกยิงของ ซาดิโอ มาเน ที่พุ่งปัดไปไปชนเสาอย่างหวุดหวิด แถมยังมีจังหวะหลุดเดี่ยวเข้ามาดวลตัวต่อตัวของ ซาลาห์ ในช่วงครึ่งหลังที่ล้มตัวบล็อคไว้ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ แน่นอนว่าหากไม่ได้เขาคนนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่สุดท้ายคนที่ชูถ้วยอาจไม่ใช่ ราชันชุดขาว ก็เป็นได้

4. ทีมอังกฤษ เหมือนจะแพ้ทาง ทีมสเปน ในรอบชิง

Liverpool FC vs Real Madrid - UEFA Champions League final
Liverpool FC vs Real Madrid - UEFA Champions League final / Anadolu Agency/GettyImages

เรียกได้ว่าเกมนี้เป็นนัดที่ 6 สำหรับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่สโมสรจาก พรีเมียร์ลีกอังกฤษ เข้าชิงกับทีมจาก ลาลีกาสเปน ซึ่ง 5 ครั้งหลังเป็น สโมสรจากแดนกระทิงดุ ที่เข้าวินทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ บาร์เซโลนา ที่เอาชนะ อาร์เซนอล เมื่อปี 2006 ต่อมากับการอัด แมนฯ ยูไนเต็ด ติดต่อกันในปี 2009 และ 2011 ต่อมาที่สองครั้งหลังสุดเป็น เรอัล มาดริด ที่เอาชนะ ลิเวอร์พูล ได้ทั้งสองหนในปี 2018 และ 2022 นั่นเอง นอกจากนี้ชัยชนะของ ราชันชุดขาว ในค่ำคืนนี้ยังส่งให้ สเปน เป็นชาติที่คว้าแชมป์มากที่สุด 19 สมัยตามมาด้วยอังกฤษที่ 14 สมัยด้วยกัน

5. สถิติจารึก คาร์โล อันเชล็อตติ

Eder Militao, Carlo Ancelotti
Liverpool FC v Real Madrid - UEFA Champions League Final 2021/22 / Julian Finney/GettyImages

ชัยชนะหนนี้ของ เรอัล มาดริด สงผลให้ คาร์โล อันเชล็อตติ สร้างสถิติใหม่ด้วยการเป็นผู้จัดการทีมที่คว้าแชมป์รายการนี้มาครองได้มากที่สุดตลอดกาลที่ 4 สมัยซึ่งยังไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน โดยเกิดขึ้นกับ เอซี มิลาน สองครั้งในปี 2003 และ 2007 กับ ราชันชุดขาว อีกสองครั้งในปี 2014 และ 2022 ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าตัวทำสถิติที่สามสมัยเท่ากับ ซีเนดีน ซีดาน ที่เคยพา มาดริด คว้าแชมป์ 3 สมัยติด และ บ็อบ ไพสลีย์ กุนซือระดับตำนานของ ลิเวอร์พูล ที่เคยทำได้ในปี 77 78 และ 81 นั่นเอง


สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น!*ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด