แมนยู 4-1 เชลซี : เก็บตกประเด็นหลังเกม สิงห์สิ้นท่าคารังผี ชนิดน่าแพ้ขาดมากกว่าสี่เม็ด
รายการ: ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2022/23
วันแข่งขัน: วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม 2023
สนาม: โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
ผลการแข่งขัน: แมนฯ ยูไนเต็ด 4-1 เชลซี
สิงห์ไม่ทันกินน้ำ
เอาจริงว่าๆ เริ่มเกมมา 6 นาทีแรก นักเตะทั้งสองฝ่ายได้สัมผัสบอลกันครบแล้วหรือยัง ก็ไม่แน่ใจ แต่นั่นคือเวลาที่ เชลซี เสียประตูแรกอย่างรวดเร็วในเกมนี้ ให้กับลูกโขกฟรีคิกของ กาเซมิโร่ (คริสเตียน เอริคเซ่น เปิด)
เมื่อเสียเร็วแบบนี้ กระบวนท่าที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ติดตั้งให้ทีมมา การหวังว่าจะประวิงสกอร์ 0-0 ให้นานที่สุดแล้วฉวยโอกาสจบคมๆ เบียดชนะที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด สัก 1-0 หรือ 2-1 จึงพังครืนลงในเพียง 6 นาที
สำคัญคือ นี่คืออีกครั้งแล้วที่ เชลซี เสียประตูเร็วในแค่ 10 นาทีแรก หรือสิบนาทีกว่าๆ
พบว่ามีถึง 4 จาก 5 เกม พรีเมียร์ลีก หลังสุด ที่ เชลซี โดนเจาะเร็ว
- แพ้ อาร์เซน่อล 1-3 : มาร์ติน โอเดการ์ด น.18
เสมอ ฟอเรสต์ 2-2 : ไทโว่ โอโวนิยี่ น.13
แพ้ แมนฯ ซิตี้ 0-1 : ฮูเลียน อัลวาเรซ น.12
และแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-4 : กาเซมิโร่ น.6
ซึ่งเมื่อ "คางเปราะ" แบบนี้ ก็หมายถึงการที่นักเตะ เชลซี ต้องเหนื่อยเป็นพิเศษในแต่ละเกม และโดยเฉพาะว่า ก็กลับมาคว้าแต้มยากด้วยในแต่ละนัด
70 ล้านหรือ 70 บาท
อย่าหาว่าใจร้าย ที่ในการตัดเกรด เราให้แค่ 0/10 เพราะสื่อนอกอย่าง football.london หรืออีกบางเจ้า ก็ตัดที่ 3/10 เท่านั้น
เพราะนี่คือ เวสลี่ย์ โฟฟาน่า เซนเตอร์แบ็กราคา 70 ล้านปอนด์ ใน 90 นาทีที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
- น.6 ตามเข้าประกบ กาเซมิโร่ ไม่ทันจนเสียประตูแรกเร็ว
น.45+5 โดนเจาะพร้อมกันทั้งแผง เสร็จ อองโตนี่ มาร์กซิยาล เช็คบิล 2-0
น.73 โดน บรูโน่ แฟร์นันเดส จิ้มลอดขา ก่อน โฟฟาน่า เอาคืนด้วยการเตะคว่ำ เสียจุดโทษลูก 3-0
น.78 จ่ายเปิดเกมหน้าประตูไม่ตรงเพื่อน โดนฉกและโดน มาร์คัส แรชฟอร์ด ลุยผ่านไปซัดเม็ด 4-0
นี่แค่ช็อตที่เสียประตู ยังมีจังหวะเล่นพลาดกว่านี้ ที่ไม่ได้ส่งผลต่อสกอร์เพิ่มเติม ...ฟอร์มแบบนี้ เล่นเอา แฮร์รี่ แม็กไกวร์ เขินเลย
จบไม่คมทำพัง...รอบที่ 501
ชัดเจนมากว่า เชลซี มีโอกาสทั้งขึ้นนำก่อน 1-0 และไล่ตีเสมอ 1-1 ไม่ใช่การตามหลัง 0-4 แล้วค่อยตีไข่แตกไล่มาให้ "แพ้น้อยหน่อย" อย่างที่เป็นจริง
เชลซี ควรขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 4 จากจังหวะที่ ลูอิส ฮอลล์ ถวายพานให้ มิไคโล มูดริค ยิงโล่งๆ สบายๆ แบบที่ไม่น่าพลาดด้วยประการทั้งปวง -- ผล : ตั้งหน้าเท้าผิดองศา กดเบี่ยงเสาออกไปเอง และสองนาทีให้หลัง กาเซมิโร่ โขกให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นนำ 1-0
และ เชลซี ก็ควรตีเสมอ 1-1 ในนาที 45+1 คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ สบช่องกดเน้นๆ ในจุดอันตราย -- ผล : บอลพุ่งเฉี่ยวเสาอย่างหวุดหวิด และอีกแวบเดียวถัดมา 45+5 มาร์กซิยาล ก็บวกสกอร์ 2-0 ให้เจ้าถิ่น
สองจังหวะนี้ สำคัญในระดับเปลี่ยนเกมได้
อ้อ คงไม่ต้องพูดถึงกอง (ไว้ข้าง) หน้าอย่าง ไค ฮาแวร์ตซ์ ก็ได้ เมื่อชัดเจนไม่รู้จะชัดเจนอย่างไรอีกว่า "เข็นไม่ขึ้น" หน้าเป้าไม่ใช่จุดที่แข้งเยอรมันสามารถเล่นได้
หรือนี่จะเป็นแผนการอันแยบยลของ แลมพาร์ด ให้กุนซือใหม่ที่จะเข้ามา ได้เห็นว่า อย่าคิดจะพึ่งพา ฮาแวร์ตซ์ อีกต่อไป?!?
พอเถอะแลมพ์ส
นี่ขนาดว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ปรานีแล้ว จากโอกาสจบทั้งหมด 18 ครั้ง / ตรงกรอบ 9 / เคปา อาร์ริซาบาลาก้า เซฟช่วยทีมไว้ 4-5 หน / ชนเสา 1 / ชนคาน 1 / และยังมีจังหวะไม่ลงล็อก จ่ายผิดต่อบอลพลาดในพื้นที่สุดท้ายอีก 4-5 รอบ
เชลซี ก็ยังแพ้ยับ 1-4
แพ้ 8 เสมอ 1 ชนะ 1 (รวมทุกถ้วย) นี่คือ เชลซี ของ แลมพาร์ด
มันกลายเป็นว่า เชลซี ยุค แลมพาร์ด 2.0 นี่ "แพ้เป็นเรื่องธรรมชาติ" ไปแล้ว และคู่ควรกับการจบครึ่งล่างของตาราง พรีเมียร์ลีก อย่างแท้จริง
แพ้เยอะจนแฟนเชลซี เล่นตัวเอง พร้อมใจกันตะโกนในระหว่างเกมล่าสุดนี้ว่า "พวกแก (แมนฯ ยูไนเต็ด) ไม่ได้เล่นดี เราแพ้ทุกเกมอยู่แล้วโว้ย!" ("You're nothing special, we lose every week.")
เอาเป็นว่าไม่ต้องรอถึงนัดปิดซีซั่นวันอาทิตย์ ก็สรุปให้เลยแล้วกันว่า นี่คือ เชลซี ที่ "ดูไม่จืด" ที่สุดในยุคพรีเมียร์ลีก
และใครก็ตามที่มีอำนาจตัดสินใจ ต่อให้ซีซั่นหน้าจะชักเข้าชักออก เด้งกุนซือใหม่ใช้กุนซือเก่าสักกี่สิบคน ก็อย่าได้คิดดึง แลมพาร์ด กลับมาคุมรอบ 3 อีกเป็นอันขาด!