[OPINION] ซิเย็ค-แวร์เนอร์ กับแรงกดดันที่ถาโถมใส่ แฟรงค์ แลมพาร์ด
โดย ชยพล ธานีวัฒน์
ผลงานของ เชลซี หลังจากที่กลับมา ‘รีสตาร์ท’ อีกครั้งนั้นเข้าขั้นต้องยกนิ้วให้พวกเขาเก็บชัยชนะ 3 เกมรวด แบ่งเป็น 6 แต้มใน พรีเมียร์ลีก และบุกเฉือน เลสเตอร์ ซิตี้ 1-0 ในฟุตบอล เอฟเอคัพ กรุยทางสู่รอบรองชนะเลิศเป็นที่เรียบร้อย
เครดิตเหล่านี้ต้องยกให้ แฟรงค์ แลมพาร์ด กุนซือหนุ่มวัย 41 ปีที่ยังรักษามาตรฐานและอันดับ 4 เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
เข้าใจตรงกันว่าเป้าหมายสำคัญของ ‘ซุปเปอร์แฟรงค์’ นั้นคือการพาทีมไปเล่นในฟุตบอล ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ให้จงได้และแชมป์ฟุตบอลถ้วยคือโบนัสที่ตามมา
ย้อนกลับไปในคราวแรกตอนที่ เชลซี ตั้ง แลมพาร์ด ขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีม หลายคนมองว่าเขาอาจจะได้เวลาในการสร้างทีมซัก 2 ปี เพราะซัมเมอร์ที่ผ่านมานั้น สิงห์บลู โดนโทษแบนเรื่องการซื้อขาย 2 ช่วงตลาด ดังนั้นระยะเวลาดังกล่าวจึงน่าจะแฟร์สำหรับอดีตฮีโร่ของทีมรายนี้
อย่างไรก็ตามเมื่อสถานการณ์พลิกผัน โทษแบนในตลาดซื้อขายลดลงเหลือกึ่งหนึ่ง เชลซี ได้รับอนุญาตให้ซื้อนักเตะใหม่ได้ในช่วงตลาดเดือนมกราคม แต่ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่สามารถคว้าดาวเตะคนใหม่มาเสริมทัพได้เลย
นั่นยิ่งทำให้ดีกรีความน่าสงสารและน่าเห็นใจของ แลมพาร์ด เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่เห็นแบบนี้ใช่ว่าเจ้าตัวจะทำผลงานได้ไม่ดี ทีมที่ไม่ได้สริมนักเตะใหม่เลยของเขานั้นก็ยังคงเกาะอันดับ 4 บนตาราง พรีเมียร์ลีก อย่างเหนียวแน่นท่ามกลางการเร่งเครื่องขึ้นมากดดันของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ได้ บรูโน แฟร์นันเดส มาเสริมทัพในเดือนมกราคม
แม้ว่าจะโดนไล่จี้ชนิดหายใจรดต้นคอ แต่อดีตมิดฟลิด์ตีนระเบิดก็ยังฝ่าฟันดงแข้งคู่แข่งและสถานการณ์โรคระบาดยืนหยัดอยู่ในอันดับ 4 ได้ค่อนข้างมั่นคงทั้ง ๆ ที่เพิ่งอกหักจากตลาดหน้าหนาวมาแท้ ๆ
โรมัน อับราโมวิช หรือ ‘เสี่ยหมี’ ผู้มองดูอยู่บนบ็อกซ์วีไอพีคงรู้สึกได้ว่า กุนซือหนุ่มผู้นี้น่าจะเป็นความหวังของชนชาวสิงโตน้ำเงินครามได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ดังนั้นจึงจัดการทุ่มเงินดึงยอดนักเตะอย่าง ฮาคิม ซิเย็ค และ ติโม แวร์เนอร์ เป็นของขวัญล่วงหน้า
ทำเอาสาวก สิงห์บลู พากันคำรามกึกก้องไปทั่วเกาะอังกฤษและมั่นใจขนาดที่คิดว่าฤดูกาลหน้า 'ซีซันหน้ามาแน่ ๆ'
อย่างไรก็ตามเหรียญย่อมมีสองด้าน การเสริมทัพอันเอิกเกริกเช่นนี้ด้านหนึ่งอาจจะนำมาซึ่งความหวังของแฟนบอลที่ตั้งตารอจะได้เห็นยอดนักเตะเหล่านี้ลงสนาม แต่ในอีกมุมหนึ่งมันคือการโถมเข้ามาของสิ่งที่เรียกว่า ‘ความกดดัน’ แก่ผู้จัดการทีม
ด้วยผลงานของเขาในซีซันนี้แม้ว่าจะไม่สม่ำเสมอ แต่การที่พาทีมที่มีแต่ดาวรุ่งและนักเตะที่เลยจุดสูงสุดไปแล้วเข้ามายึดอันดับ 4 บนตารางได้อย่างเหนียวแน่น นั่นคือสิ่งที่การันตีฝีมือของชายคนนี้ แน่นอนว่ามันทำให้หลายคนย่อมคิดว่า ‘นี่ขนาดไม่ได้เสริมใคร แลมพาร์ด ยังทำได้ดีขนาดนี้ แล้วถ้าได้นักเตะระดับซุปเปอร์สตาร์มาประดับทีมล่ะจะทำได้ดีขนาดไหน?’
เล่นตั้งความหวังกันแบบนี้เหมือนจะโยนความกดดันใส่ แฟรงค์ แลมพาร์ด แบบเต็ม ๆ
อย่างไรก็ตามนายใหญ่ สิงห์บลู ก็ได้ออกมาพูดถึงเรื่องนี้แบบค่อนข้างผ่อนคลาย หลังจากที่ถูกสื่อยิงคำถามใส่ว่า การปิดดีลนักเตะระดับสตาร์ได้ถึง 2 รายในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันแบบนี้ มันทำให้เขารู้สึกถึงความกดดันหรือไม่ในฤดูกาลหน้า
“มันก็อาจจะเป็นอย่างนั้น ผมเข้าใจดี แต่งานแบบนี้มันมีความกดดันอยู่แล้ว รวมทั้งเรื่องของความคาดหวังด้วย เราได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากสโมสร นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงรัก พรีเมียร์ลีก และเราพยายามที่จะทำให้ดีที่สุด”
“ดังนั้นผมจึงไม่ได้สนใจความคิดนี้เท่าไหร่ ผมเข้าใจ เรากำลังพยายามที่จะพัฒนาและผมไม่ได้คิดเอาเอง ผมอยากจะพัฒนา ผมไม่สนเรื่องความกดดันอะไรนั่น ผมจะกดดันตัวเองให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย”
“ผมคิดว่าเราต้องมองในแง่ดีมาก ๆ เราต้องการลดช่องว่างกับทีมชั้นนำและการเซ็นสัญญากับ ติโม แวร์เนอร์ และ ซิเย็ค นั้นถือเป็นเรื่องที่ดี”
“ยังมีตำแหน่งอื่น ๆ ที่เราอาจจะต้องการเสริมทัพไปด้วยและนักเตะเหล่านั้นต้องพร้อมที่จะย้ายในตลาดซื้อขาย เรารู้สึกดีที่ได้พวกเขาเข้ามาเติมเต็มช่องว่างและช่วยยกระดับทีม และเราก็มีความสุขกับเรื่องนี้”
แน่นอนว่าเป็นใครก็ดีใจที่จะได้นักเตะฝีเท้าดีมาร่วมทีม ซึ่งเจ้าตัวอาจจะตอบแบบนั้นจริง แต่ในใจใครจะไปรู้ได้ว่าภารกิจในเกมที่เหลือนั้นมันหนักหนาขนาดไหนและเขาต้องแบกรับอะไรไว้บ้าง
ในมุมมมองของผู้บริหารสโมสรหรือเจ้าของทีม เมื่อ เสี่ยหมี ยอมทุ่มดึงนักเตะระดับซุปเปอร์สตาร์ชดเชยให้จากช่วงตลาดซื้อขายหน้าหนาวแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้มันต้องออกมาในแง่บวกสิ
แฟนบอลก็เช่นกัน พวกเขาหวังเห็น เชลซี ของตัวเองกลับมาแย่งแชมป์กับ ลิเวอร์พูล แมนเชาเตอร์ ซิตี้ อาจรวมถึง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยในฤดูกาลหน้า เพราะเมื่อมีนักเตะระดับนี้มาร่วมทีมการจะลุ้นแค่ แชมเปี้ยนส์ลีก มันดูเป็นคนมักน้อยเกินไป
ดังนั้นหน้าที่ของ แฟรงค์ แลมพาร์ด คือการบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ในซีซันนี้ให้ได้ เพราะถ้าเกิดอดเล่นถ้วยใบใหญ่ของยุโรปขึ้นมามันคงขายขี้หน้าประชาชีอย่างแน่นอน
7 เกม พรีเมียร์ลีก ต่อจากนี้จะพิสูจน์ให้เห็นว่า แลมพาร์ด ยังเหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการทีม เชลซี ในปีหน้าหรือไม่
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด