แผลที่ถูกเปิดของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด - OPINION
โดย ชยพล ธานีวัฒน์
หลังจบเกมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดรัง เอติฮัด ไล่ถล่มอย่างไม่ไว้หน้าไป 4-1 ในเกม พรีเมียร์ลีก นัดล่าสุด อดีตผู้เล่น ปีศาจแดง ต่างเรียงหน้าออกมาชำแหละทีมเก่าของพวกเขาอย่างไม่มีชิ้นดี
ไมว่าจะเป็น รอย คีน, แกรี เนวิลล์ และ พอล สโคลส์ ทุกคนชี้ให้เห็นถึง “ปัญหา” ที่มันคาราคาซังในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด นับตั้งแต่ที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อำลาทีมไปเมื่อปี 2013 และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังเสียที
ไล่ไปตั้งแต่ เนวิลล์ ที่พูดถึงเรื่องของการบริหารงานที่ผิดพลาด ซึ่งมันเป็นอีกครั้งที่เรื่องนี้ถูกหยิบยกขึ้นมา ไล่เรียงไปตั้งแต่การแต่งตั้ง เอ็ด วู้ดเวิร์ด ที่เก่งเรื่องบัญชีและการตลาดแต่ไม่ได้มีความรู้เรื่องฟุตบอลแม้แต่น้อยให้เข้ามาดูแลสโมสร จนไปถึงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานอย่างสนามซ้อมที่ แคร์ริงตัน และสนามแข่งขันที่อาจจะดูทันสมัยเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ตอนนี้โดนหลายทีมแซงหน้าไปแทบจะไม่เห็นฝุ่นแล้ว
ทางด้าน สโคลส์ ก็ชำแหละการตัดสินใจของสโมสรที่แต่งตั้ง ราล์ฟ รังนิค ขึ้นมาคุมทีมชั่วคราว ซึ่งเจ้าตัวมองว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะกุนซือชาวเยอรมันไม่เคยคุมทีมชั้นนำมาก่อนเลย ไม่เคยมีประสบการณ์คุมทีมที่มีความคาดหวังสูงอย่าง ยูไนเต็ด แถมในช่วง 10 ปีหลังเขาทำหน้าที่คุม ไลป์ซิก แค่ 2 ปีคือในช่วงปี 2015-2016 และ 2018-2019 ซึ่งก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
นอกจากนี้อดีตกองกลางหัวแดงเพลิงยังอัด รังนิค ต่อว่า เขาไม่แน่ใจว่านายใหญ่ ปีศาจแดง นั้นเข้ามาจัดการเรื่องเกมรับอย่างที่พูดไว้หรือไม่ เพราะเท่าที่เห็นก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง แถม ดาวิด เด เคอา ยังต้องทำหน้าที่เซฟช่วยทีมเป็นพัลวันเหมือนเดิม ซึ่งเกมกับ แมนน ซิตี้ พวกเขาควรจะโดน 5-6 ลูกด้วยซ้ำ
ปิดท้ายด้วยอดีตลูกพี่ใหญ่อย่าง รอย คีน ที่ดูจะจัดหนักกว่าเพื่อน เพราะ คีโน่ มองว่านี่คือเกม แมนเชสเตอร์ดาร์บี้ มันคือศึกแห่งศักดิ์ศรี ไม่ว่าอันดับบนตารางจะเป็นอย่างไร ต้องวางเอาไว้ที่บ้านแล้วมาใส่กันไม่ยั้งในสนาม แต่แข้งรุ่นน้องกลับทำให้เขาผิดหวังอย่างแรง
อดีตแข้งทีมชาติไอร์แลนด์ไม่อยากเชื่อสายตากับสิ่งที่เขาเห็น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าบอลที่อ่อนปวกเปียก การไม่พยายามไล่เสียบสกัดคู่แข่ง การถอดใจในครึ่งหลัง และเขายังได้ชี้ว่ามีนักเตะ ยูไนเต็ด ถึง 5-6 ที่ไม่สมควรสวมเสื้อสีแดงตัวนี้
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ดูเหมือนว่างานที่ ราล์ฟ รังนิค พยายามทำตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวนั้นจะแสดงให้เห็นว่ามันไม่ไดผลเท่าที่ควร จริงอยู่ที่เขาพาทีมแพ้เพียงเกมเดียว และเก็บชัยชนะได้ 2 นัดติดต่อกันก่อนจะมาเจอกับ แมนฯ ซิตี้ แต่เมื่อผลการแข่งขันนัดล่าสุดออกมาแบบนี้ มันก็เหมือนแผลที่โดนเปิดออกและได้เห็นข้างในที่เน่าเฟะยิ่งกว่าเดิม
มีคำถามตามมาว่า ตกลงแล้วนี่คือทิศทางที่ถูกต้องของ แมนฯ ยูไนเต็ด ใช่หรือไม่ กับการที่พวกเขาแต่งตั้ง รังนิค ขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวจนจบฤดูกาล หลังจากนั้นจะมีการแต่งตั้งกุนซือคนใหม่ถาวรในช่วงซัมเมอร์ ในขณะที่เป้าหมายในซีซันนี้คือการต้องได้ไปเล่น ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก เอาไว้ก่อน
อย่างไรก็ตามกับผลงานที่ออกมาเช่นนี้จะทำให้เชื่อได้อย่างไรว่า พวกเขาจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่วางเอาไว้ได้
ยิ่งตอนนี้ อาร์เซนอล ของ มิเกล อาร์เตต้า กำลังอยู่ในช่วงคึกคักกับผลงานอันยอดเยี่ยมและแซง ยูไนเต็ด ขึ้นไปรั้งอันดับ 4 บนตารางเรียบร้อยแล้ว แถมยังแข้งน้อยกว่าถึง 3 นัด ไหนจะมี เวสต์แฮม ที่จ่อคอหอยมาติด ๆ ยังไม่นับ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ที่แข่งน้อยกว่าถึง 2 เกม มีแต้มตามหลัง 2 คะแนน และจะต้องโคจรมาพบกันในเกมต่อไปด้วย
นอกจากปัญหาเรื่องผลงานในสนามแล้ว นอกสนามก็สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าไม่แพ้กัน
ไล่ไปตั้งแต่ข่าวเรื่องบรรยากาศอันย่ำแย่ในห้องแต่งตัว การไร้ความเป็นหนึ่งเดียว และวิธีการซ้อมที่โบราณคร่ำครึ ยิ่งเมื่อแพ้ แมนฯ ซิตี้ แบบสู้ไม่ได้ เหมือนแผลยิ่งถูกเปิดกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งเรื่อง มาร์คัส แรชฟอร์ด อยากจะย้ายทีมเพราะไม่พอใจที่ต้องเป็นตัวสำรอง รวมทั้งเรื่องที่ คริสเตียโน โรนัลโด้ ถูกตัดออกจากทีมในเกมสำคัญเนื่องจากเรื่องของแท็คติก ซึ่งในเวลาต่อมามีกระแสข่าวออกมาว่าเจ้าตัวเดินทางกลับไปโปรตุเกส ไม่ใยดีเพื่อนร่วมทีมด้วยซ้ำ
ความพ่ายแพ้ต่ออริอย่าง เรือใบสีฟ้า กลายเป็นว่าทำให้ปัญหาที่มันสั่งสมและอัดอั้นมานานในรั้ว โอลด์ แทรฟฟอร์ด ระเบิดออกมา ในขณะที่ดูเหมือนว่าฝ่ายบริหารก็ยังคงตั้งใจจะเดินตามแนวทางที่ตั้งเอาไว้ และรอผู้จัดการทีมคนใหม่เข้ามาสะสางในช่วงซัมเมอร์
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นมันจะสายเกินไปหรือเปล่า และไม่แน่ใจว่าจะมีใครที่จะกล้ารับอาสาเข้ามาสมานแผลอันเน่าเฟะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บ้าง
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด