ความท้าทายที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องเจอในฤดูกาล 2023/24 - OPINION
- แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้า ทริปเปิลแชมป์ เมื่อซีซันที่ผ่านมา
- เสียนักเตะหลักออกไป และผู้เล่นบางคนอนาคตไม่แน่นอน
- บรรดาสโมสรคู่แข่งเสริมทัพได้แข็งแกร่ง
โดย Navapun Munarsa
หลังจากประสบความสำเร็จด้วยการคว้า “ทริปเปิลแชมป์” ประกอบด้วย พรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ เอฟเอ คัพ เมื่อฤดุกาลที่ผ่านมา นั้น ความท้าทายครั้งใหม่กำลังรอ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การนำทัพของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เทรนเนอร์ชาวสเปนอยู่ในซีซันหน้า
คำถามที่อยู่ในใจของแฟนบอลหลายคนคือ ใครจะสามารถหยุดความร้อนแรงของ แมนฯ ซิตี้ ได้ และเมื่อซัมเมอร์มาถึง “เรือใบสีฟ้า” ก็กำลังเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ ซึ่งพวกเขาก็ต้องรับมือกับมันเช่นกัน
คัลดูน อัล มูบารัค ประธานสโมสร แมนฯ ซิตี้ ประกาศชัดเจนหลังจบฤดูกาลที่แล้วว่า เป้าหมายหลักของทีมยังคงคือ การคว้า “ทริปเปิลแชมป์” ให้ได้ ซึ่งมันเป็นคำเตือนต่อบรรดาสโมสรคู่แข่งอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, อาร์เซนอล, เรอัล มาดริด, บาร์เซโลนา, ปารีส แซงต์ แชร์กแมง และ บาเยิร์น มิวนิค
ในฤดูร้อนนี้ แมนฯ ซิตี้ เสีย อิลคาย กุนโดกัน กองลางคีย์แมนให้กับ บาร์เซโลนา แบบไร้ค่าตัว และอาจไม่ใช่คนเดียวที่ย้ายออกไป โดยบรรดาผู้เล่นอย่าง แบร์นาร์โด้ ซิลวา, ริยาด มาห์เรซ, อายเมอริค ลาปอร์ต, ไคล์ วอล์คเกอร์ และ คาลวิน ฟิลลิปส์ ก็ยังมีอนาคตที่ไม่แน่นอน
ขณะเดียวกัน มาเตโอ โควาซิช มิดฟิลด์ชาวโครเอเชีย ถูกคว้าตัวมาจาก เชลซี เพื่อทดแทน กุนโดกัน เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ เป้าหมายต่อไปของ แมนฯ ซิตี้ คือ การล่าตัว ยอสโก กวาร์ดิโอล กองหลังอนาคตไกลของ แอร์เบ ไลป์ซิก เข้ามาร่วมทีม
อย่างไรก็ตาม บรรดาแกนหลักจากซีซันที่ผ่านมาอย่าง เอแดร์สัน, รูเบน ดิอาส, โรดรี, เควิน เดอ บรอยน์, จอห์น สโตนส์, แจ็ค กรีลิช, ฟิล โฟเด้น และ เออร์ลิง ฮาแลนด์ ยังคงอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในปีหน้า
สำหรับ กวาร์ดิโอล่า ก็ต้องสร้างทีมงานเบื้องหลังขึ้นมาใหม่เช่นกัน หลังจากหนึ่งในสตาฟฟ์โค้ชอย่าง เอนโซ มาเรสก้า ตัดสินใจอำลาสโมสรเพื่อโยกไปรับงานเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของ เลสเตอร์ ซิตี้ ส่วนมือขวาที่ทำงานร่วมกันมา 7 ปี อย่าง โรดอลโฟ บอร์เรลล์ ก็ไปรับงานเป็น ผอ.กีฬาของ ออสติน เอฟซี ในสหรัฐฯ
เมื่อมองในภาพรวม แมนฯ ซิตี้ ชุดนี้ยังคงแข็งแกร่งทั่วแผ่น โดยทีมของ กวาร์ดิโอล่า ทำผลงานได้อย่างสุดยอดด้วยการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้ถึง 5 จาก 6 ปีหลังสุด และยังเข้าไปชิงชนะเลิศในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนสฺลีก 2 จาก 3 ครั้งหลังสุดอีกด้วย
หากย้อนกลับไปในปี 2021 แมนฯ ซิตี้ ก็เคยเกือบคว้า 4 แชมป์มาแล้ว หลังจากที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และ คาราบาว คัพ ไปครองได้สำเต็จ และเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ รอบรองชนะเลิศของ เอฟเอ คัพ
เมื่อมองไปที่บรรดสทีมคู่แข่ง ลิเวอร์พูล เป็นทีมเดียวที่ตัดหน้า แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์ลีกไปครองได้ 1 สมัย และหลังจากจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 5 เมื่อปีที่ผ่านมา “หงส์แดง” ได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับพื้นที่ที่มีปัญหาในตำแหน่งกองกลางด้วยการคว้าตัว อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ จาก ไบรท์ตัน และ โดมินิก โซบอสไล จาก ไลป์ซิก
อาร์เซน่อล จบอันดับสองเป็นรองแชม์พรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว และเสริมทัพได้อย่างน่าสนใจด้วยการคว้าตัว, ไค ฮาแวร์ตซ์, ดีแคลน ไรซ์ และ จูเรียน ทิมเบอร์ มาจาก เชลซี, เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และ อาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม ซึ่งอาจทำให้ช่องวางกับ แมนฯ ซิตี้ ถูกขยับลงมาได้อีก
ส่วนบรรดาทีมในยุโรปอย่าง มาดริด แม้จะได้ตัว จู๊ด เบลลิงแฮม ไปร่วมทีม แต่ก็ต้องเสียกองหน้าคนสำคัญอย่าง คาริม เบนเซม่า ขณะที่ บาเยิร์น ก็ได้ คิม มิน แจ ไปเสริมแนวรับ และกำลังเดินหน้าล่าลายเซ็นของ แฮร์รี่ เคน อย่างหนัก ส่วน เปแอสเช ก็เปลี่ยนหัวเรือใหญ่ด้วยการแต่งตั้ง หลุยส์ เอ็นริเก้ ไปคุมทีม
เหล่าสโมสรคู่แข่งทั้งใน และนอกประเทศของ แมนฯ ซิตี้ ทำงานกันได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายบรรดานักเตะ “เรือใบสีฟ้า” และ กวาร์ดิโอล่า อย่างมากกว่า พวกเขาจะประสบความสำเร็จเหมือนเดิมได้หรือไม่