[OPINION] หรือเวลาของ เยอร์เก้น คล็อปป์ กับ ลิเวอร์พูล ใกล้จะหมดลง ?

Liverpool v Manchester City - Premier League
Liverpool v Manchester City - Premier League / Laurence Griffiths/Getty Images
facebooktwitterreddit

หลังจบเกมที่ ลิเวอร์พูล บุกไปโดน เลสเตอร์ ซิตี้ จัดหนักด้วยสกอร์ 3-1 ที่ คิงพาวเวอร์ สเตเดี้ยม ในศึก พรีเมียร์ลีก เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ก็เริ่มมีเสียงเรียกร้องจากแฟนบอลบางส่วนที่ขอให้ปลด เยอร์เก้น คล็อป ออกจากการเป็นผู้จัดการทีมโดยทันที

เสียงเหล่านั้นมาพร้อมกับคำวิจารณ์ชนิดไม่ไว้หน้าทั้งเรื่องของการจัดตัวผู้เล่น แท็คติกในสนาม การเปลี่ยนตัวนักเตะ การแก้เกม รวมไปถึงอาการ “หมดมุข” ในช่วงหลัง

หงส์แดง กำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤติอย่างแท้จริง โดยพวกเขาแพ้เป็นเกมที่ 3 ติดต่อกัน และยังแพ้ในบ้านมาแแล้ว 3 เกม โดย 10 นัดหลังสุดเฉพาะในฟุตบอลลีกเก็บได้เพียง 5 คะแนนจากการชนะ 2 เสมอ 3 และแพ้ถึง 5 นัด

ยังไม่มีใครรู้ว่า ลิเวอร์พูล จะฝ่ามรสุมที่โหมกระหน่ำอยู่ในขณะนี้ไปได้อย่างไร แม้แต่ตัวผู้จัดการทีมเองก็เช่นกัน

ดังนั้นเสียงของแฟนบอลบางส่วนจึงมองว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ จึงน่าจะหมดเวลาในการนั่งเก้าอี้นายใหญ่ในถิ่น แอนฟิลด์ เสียที

มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?

Leicester City v Liverpool - Premier League
Leicester City v Liverpool - Premier League / Michael Regan/Getty Images

หากย้อนไปเมื่อซีซันที่แล้วหลังจบเกมที่ 24 ของฤดูกาล คล็อปป์ นำลูกทีมเก็บชัยชนะได้ถึง 23 นัดและเสมอเพียงเกมเดียว โดยมี 70 คะแนนทิ้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่อยู่อันดับ 2 ถึง 19 คะแนน

เกมรุกของพวกเขาเป็นรองแค่ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา โดยยิงไป 56 ลูก แต่เกมรับเสียไปเพียง 15 ประตูซึ่งน้อยที่สุดในลีก ทำให้มีผลต่างประตูได้เสียเป็นบวกอยู่ที่ 41 ประตูมากกว่า แมนฯ ซิตี้ อยู่ 3 ลูก 

กลับกันเมื่อเทียบกับ 24 เกมในซีซันนี้ หงส์แดง ฟอร์มรูดอย่างไม่น่าเชื่อโดยยิงได้ 45 ประตูและเสียไปถึง 32 ประตูมีผลต่างอยู่ที่บวก 13 ลูกพร้อมด้วยเก็บได้เพียง 40 คะแนนเท่านั้น

ซึ่งหากดูกันแค่นี้เราอาจจะเห็นคล้อยตามกลุ่มที่ต้องการไล่ เยอร์เก้น คล็อปป์ เพราะทีมเพิ่งคว้าแชมป์มาหมาด ๆ ด้วยสถิติสุดโหด แต่กลับเหมือนคนละทีมทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมาก แถมยังเสริมเกมรุกให้ดุดันยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ

Leicester City v Liverpool - Premier League
Leicester City v Liverpool - Premier League / Pool/Getty Images

อย่างไรก็ตามต้องไม่ลืมว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ ต้องเจอกับปัญหานักเตะบาดเจ็บเกินครึ่งทีม โดยเฉพาะการสูญเสียกองหลังตัวหลักอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ไปทั้งฤดูกาล

จะโทษว่าเป็นความชะล่าใจของกุนซือชาวเยอรมันที่ไม่ยอมซื้อเซ็นเตอร์แบ็คตัวหใม่เมื่อตอนซัมเมอร์ก็คงจะไม่เต็มปาก เพราะคงไม่มีใครคิดว่าเซ็นเตอร์แบ็คที่มีอยู่ 3 ตัวจะมาทยอยเจ็บไปพร้อม ๆ กันแบบนี้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่สุดวิสัยและช่วยไม่ได้จริง ๆ

เมื่อไม่มี ฟาน ไดค์ และกองหลังอาชีพ ทีมก็เละอย่างที่เห็น และแม้ว่านักเตะใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาร่วมทีมเมื่อเดือนมกราคมก็ยังต้องใช้เวลาในการปรับตัว ซึ่งน่าจะพักใหญ่ ๆ เหมือนกันเมื่อดูจากฟอร์มของ โอซาน คาบัค ในเกมล่าสุด

กุนซือวัย 54 ปีรู้ดีถึงความคาดหวังของแฟนบอล แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่คิดว่าสภาพทีมจะออกมาเช่นนี้ ดูได้จากการให้สัมภาษณ์หลังจบเกมเมื่อวันเสาร์เจ้าตัวถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาพร้อมบอกว่าการป้องกันแชมป์คงเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะช่องว่างมันห่างออกไปเรื่อย ๆ  

Liverpool v Manchester City - Premier League
Liverpool v Manchester City - Premier League / Laurence Griffiths/Getty Images

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะการไม่วางแผนไม่ดีหรือเป็นความประมาทของผู้จัดการทีม เพราะเหตุการณ์เช่นนี้มันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกทีมในโลกของฟุตบอล 

หากจำกันได้ ซีซันก่อน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ก็ต้องเจอกับปัญหาเดียวกัน นั่นคือการสูญเสียเซ็นเตอร์แบ็คตัวหลักอย่าง อายเมอริค ลาปอร์ก ไปเกือบทั้งฤดูกาล ซึ่งมันส่งผลอย่างยิ่งต่อเกมรับของพวกเขา 

กุนซือสมองเพชรพยายามแก้ปัญหาด้วยการดึง แฟร์นันดินโญ ลงไปเล่นเป็นเซ็นเตอร์แบ็ค เหมือนที่เขาประสบความสำเร็จในการใช้ ฆาบี มาร์ติเนซ ที่ บาเยิร์น มิวนิค และ ฮาเวียร์ มาสเคราโน ที่ บาร์เซโลนา มาแล้ว โดยที่เจ้าตัวปฏิเสธการซื้อกองหลังตัวใหม่ในช่วงตลาดหน้าหนาวด้วยซ้ำ

แต่ครั้งนั้นผลออกมาไม่เป็นดังหวัง ลิเวอร์พูล ซึ่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์สุดขีดและมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยมที่จะเอาแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปีให้ได้ พวกเขาจึงใช้โอกาสนี้โกยแต้มแบบรวดเดียวจบกลายเป็นแชมป์ตั้งแต่เกมที่ 31 เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลลีก พร้อมด้วยการทำแต้มสูงสุดในประวัติศาสตร์สโมสรโดยทำได้ 99 คะแนน

Liverpool FC v Chelsea FC - Premier League
Liverpool FC v Chelsea FC - Premier League / Laurence Griffiths/Getty Images

ซึ่งไอ้ความสุดยอดนี้แหละที่กลายเป็นมาตรฐานของ เร้ดแมชชีน ชุดนี้

แฟนบอลที่ส่งเสียงให้ปลด เยอร์เก้น คล็อปป์ คงมองว่าพวกเขาคือแชมป์เก่า คือทีมที่มีเกมรุกที่สุดยอด เป็นทีมที่คว้าแชมป์ทิ้งคู่แข่งอย่างขาดลอย ดังนั้นการเสียนักเตะไปเพียงไม่กี่คนไม่น่าจะส่งผลกระทบได้ถึงขนาดนี้ 

เข้าใจว่า เดอะค็อป บางคนเสพติดความสำเร็จมาตลอดในช่วง 2 ปีหลัง หรือหากจะนับเรื่องความล้มเหลวของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จด้วยก็อาจจะรวมเป็น 3 ปี ซึ่งเป็น 3 ปีที่พวกเขามีความสุขกับฟอร์มการเล่นของทีมรักและการได้เห็นสภาพน่าอนาถและอนาคตที่มืดมนของคู่ปรับอันดับหนึ่ง

ดังนั้นเมื่อในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่ประสบปัญหาหนัก ฟอร์มการเล่นไม่คงที่ หมดสิทธิ์ป้องกันแชมป์ และทำท่าว่าจะหลุดจากพื้นที่ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ในขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลับสู่บัลลังก์จ่าฝูงอีกครั้ง และคู่ปรับอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมลุ้นแชมป์แบบคาดไม่ถึง 

FBL-ENG-PR-MAN CITY-TOTTENHAM
FBL-ENG-PR-MAN CITY-TOTTENHAM / SHAUN BOTTERILL/Getty Images

คนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ก็คือ เยอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมที่เคยเสกความสำเร็จอย่างมากมายให้กับพวกเขา

บางคนถึงกับต้องการให้สโมสรหันไปทาบทาม สตีเวน เจอร์ราร์ด อดีตกัปตัน หงส์แดง ซึ่งกำลังไปได้สวยกับการคุม กลาสโกว เรนเจอร์ส ใน สก็อตติชพรีเมียร์ลีก มาคุมทีมแทน ซึ่งหากทำเช่นนั้นก็อาจจะเป็นการเสี่ยงจนเกินไป 

เพราะแม้เจ้าตัวจะดูมีอนาคตบนเส้นทางผู้จัดการทีมก็จริง แต่ด้วยประสบการณ์อันน้อยนิดและมาตรฐานของลีกสก็อตแลนด์นั้นยังสู้ระดับ เดอะแชมเปี้ยนชิพ ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า “สตีวีจี” คือทางเลือกที่ดีกว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ ผู้ซึ่งพาทีมคว้า 4 แชมป์ในรอบ 2 ปี

อดทนรอกันมาได้ตั้ง 30 ปี กับแค่ทีมฟอร์มตกไม่กี่เดือนก็จะปล่อยให้เดินอย่างเดียวดายอย่างนั้นหรือ

Fans Leave Messages Of Support For Jurgen Klopp Outside Anfield
Fans Leave Messages Of Support For Jurgen Klopp Outside Anfield / Michael Regan/Getty Images

สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด