การพิสูจน์ตัวเอง (อีกครั้ง) ของ “อีเอสอาร์” ใต้สีเสื้อ อาร์เซนอล - OPINION
เอมิล สมิธ โรว์ กองกลางอาร์เซนอล ให้สัมภาษณ์กับทาง The Times เกี่ยวกับช่วงเวลาที่ลำบากมากช่วงหนึ่งในเส้นทางอาชีพของเขา หลังจากที่เขาไม่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงเลยในฤดูกาล 2022-2023 ที่ผ่านมา พร้อมกับเปิดเผยเหตุของเรื่องราวดังกล่าว
นักเตะหมายเลข 10 ของสโมสรอาร์เซนอลคนปัจจุบัน กำลังอยู่ในแคมป์ทีมชาติอังกฤษชุดอายุต่ำกว่า 21 ปี เพื่อทำศึกทัวร์นาเมนต์ยูโร อายุต่ำกว่า 21 ปี ซึ่งจะเป็นสถานที่ซึ่งเขาคาดหวังจะได้รับโอกาสในการลงสนามที่เขาไม่ได้ลงเล่นเลยตลอดปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้อังกฤษในทัวร์นาเมนต์ยูโรชุดอายุต่ำกว่า 21 ปี อยู่ร่วมสายกับ เช็ก, เยอรมัน และอิสราเอล โดยทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวในครั้งนี้ โรมาเนีย และ จอร์เจีย เป็นเจ้าภาพร่วมกัน ขณะที่อังกฤษชุดนี้มีการเรียกตัว ดาวรุ่งจากหลากหลายสโมสรในพรีเมียร์ ลีก เข้าร่วมศึกนี้ไม่ว่าจะเป็น แอนโทนี่ กอร์ดอน (นิวคาสเซิ่ล), โนนี่ มาดูเอเก้ (เชลซี), มอร์แกน กิ๊บส์-ไวท์ (นอตติ้งแฮม ฟอเรสต์), จาค็อบ แรมซีย์ (แอสตัน วิลล่า), เลวี่ โควิลล์ (เชลซี) และแน่นอน เอมิล สมิธ โรว์ อยู่ในทีมชุดนี้
หาก 2021-2022 เป็นฤดูกาลที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเด็กหนุ่มจากครอยดอน ที่ได้รับสัญญาใหม่พร้อมหมายเลขเสื้อที่หลายคนอยากจะครอบครอง 2022-2023 สำหรับเขาก็คือฝันร้ายที่อยากตื่นโดยเร็ว
อาการบาดเจ็บขาหนีบซึ่งไม่เคยหายมาตลอดหลายปี ได้รับการแก้ไขกับการตกลงร่วมกันระหว่างตัวเขา สโมสร และทีมแพทย์ เขาเข้ารับการผ่าตัด และต้องใช้เวลา 5 เดือนในการรักษาอาการบาดเจ็บนั้นเพื่อหวังว่ามันจะเป็นทางออกเพื่อการหายขาดจากอาการบาดเจ็บดังกล่าว เขาเลือกทิ้งโอกาสลุ้นไปเล่นฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายไปในเวลาเดียวกัน แต่แล้วสุดท้ายเมื่อกลับมาจากการพักฟื้น เขาก็ไม่ได้ลงเล่นตัวจริงในพรีเมียร์ ลีก เลยจนกระทั่งจบฤดูกาล เขาจบลงด้วยการลงเป็นตัวสำรอง 14 เกมตลอดฤดูกาล และนั่นทำให้ขณะที่คนอื่นหากไม่มีภารกิจทีมชาติ ทุกคนต่างออกไปพักผ่อนในเดือนมิถุนายน นอนอาบแดด อยู่กับครอบครัว ก่อนจะกลับมาลงซ้อมกันต่อในเดือนหน้า สมิธ โรว์ เลือกจะกลับมารับใช้ชาติกับทีมชาติอังกฤษชุดเล็ก
“ผมคิดว่าการมาร่วมทีมชาติเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่เสมอ ผมติดทีมชาติอังกฤษมาตั้งแต่ชุดอายุต่ำกว่า 16 ปี ผมลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ โอกาสแบบนี้ผมไม่มีวันปฏิเสธมัน มันคงน่าละอายถ้าจะเลือกปฏิเสธมันในวันที่ได้รับโอกาส และไม่ได้คิดว่ามันคือการลดระดับอะไรด้วย ผมต้องการลงเล่น หลังเพิ่งผ่านฤดูกาลที่ยากลำบากที่สุดของตัวเอง”
“อีเอสอาร์” เป็นดาวรุ่งที่หลายคนจับตามองว่าจะมีโอกาสขึ้นมาเป็นตัวหลักของสโมสร เขาเริ่มต้นในทีมช่วงปรีซีซั่นในฤดูกาล 2018-2019 ในทีมของ อูไน อเมรี่ และสุดท้ายแม้จะไม่ได้ขึ้นชุดใหญ่เต็มตัว แต่เขาก็ได้รับโอกาสในการย้ายไปเล่นกับ อาร์เบ ไลป์ซิค ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง แต่แล้วอาการบาดเจ็บ “ขาหนีบ” ก็เกิดขึ้นกับเขา มันไม่ใช่อาการบาดเจ็บครั้งแรก แต่อาการบาดเจ็บนี้ตามมาหลอกหลอนเขานับจากนั้นเป็นต้นมา
“ผมเคยบาดเจ็บขาหนีบมาแล้ว บางทีน่าจะเป็นตอนอายุ 19 ผมก็บาดเจ็บส่วนนี้แล้ว ผมทำได้เพียงรับมือกับมันฤดูกาลแล้วฤดูกาลเล่า ผมเริ่มต้องเข้ารับการฉีดยา และทานยาเพื่อไม่ให้มันรู้สึกปวด ในฤดูกาล 2021-2022 ผมฉีดยาจนกระทั่งผมไม่รู้สึกเจ็บอะไรที่ขาหนีบเลย มันทำให้ผมผ่านฤดูกาลนั้นมาได้ แต่ในช่วงต้นฤดูกาล 2022-2023 ผมรู้สึกกลับมามีอาการบาดเจ็บ และคิดว่าผมไม่สามารถจะเอาแต่ฉีดยาแบบนี้ไปตลอดเส้นทางอาชีพของผม”
“ผมลงเล่นในเกมพบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดช่วงเดือนกันยายน ผมมีจังหวะยิงประตู ผมยิงไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี และผมรู้สึกทันทีเลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับร่างกาย”
การบาดเจ็บครั้งนั้นทำให้เขาต้องเข้ารับการผ่าตัด และมันเป็นการผ่าตัดใหญ่ครั้งแรกของเขา ซึ่งเต็มไปด้วยความกังวลของเด็กหนุ่มวัย 21 ปีในเวลานั้น
“ผมไม่เคยผ่าตัดมาก่อนเลย มันเป็นเรื่องใหญ่ที่มาถึงผม ตามหลักการแล้วพวกเขาจะต้องตัดบางส่วนออกไปและประกอบมันกลับเข้าไปใหม่ ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่แล้วพอกลับไปทำกายภาพ และเริ่มต้นการฝึกซ้อม ผมกลับมีแผลที่ขาหนีบ และต้องผ่าตัดเอามันออก”
5 เดือน คือจำนวนวันและเวลาทั้งหมดที่เขาหมดไปกับการดูแลร่างกาย พักฟื้น ทำกายภาพ เรียกความฟิต และกลับมาสู่ทีม เขากลับมาอยู่ในทีมในช่วงเดือนมกราคม 2023 ในช่วงเวลาที่อาร์เซนอลกำลังทำผลงานได้ดี ขณะที่ สมิธ โรว์ กลับมาแล้ว…แล้วอย่างไรต่อในเมื่อผู้เล่นคนอื่นอยู่ในฟอร์มที่ดีมาตลอด สิ่งที่เขาได้เจอคือ เขาตามหลังเพื่อนร่วมทีมไปแล้วถึง 5 เดือนเต็ม และแน่นอนว่าเขาต้องยอมรับสถานะของ “ผู้ท้าชิง” ตำแหน่งตัวจริงของตนเองคืนกลับมา
“มันยากลำบากสำหรับผม เมื่อทีมกำลังลุ้นแชมป์ ผมเข้าใจมิเคล อาร์เตต้า ว่าเขาไม่เปลี่ยนแปลงทีม เมื่อทีมกำลังผลงานดีเก็บชัยชนะได้ต่อเนื่อง สิ่งที่ผมทำได้คือคิดในแง่บวก และลงซ้อมต่อไป ทุกคนในทีมต้อนรับ และยินดีที่ผมกลับมา พวกเขาพยายามทำให้ผมรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม แต่มันก็ยากมากสำหรับผมอยู่ดี มันเป็นฤดูกาลที่ยาวนาน ผมรู้สึกแบบนั้น”
เกมแล้วเกมเล่าที่เขาเป็นเพียงผู้ชมข้างสนาม นับตั้งแต่กลับมาลงเล่นได้อีกครั้ง เขามีเวลาลงสนามรวมกันไม่ถึง 200 นาที บางเกมลงเล่นเพียง 5 นาที แต่ก็ต้องลงเล่น เพราะนั่นคือโอกาสที่เขาได้รับจากโค้ช และการเลือกมาร่วมงานกับทีมชาติอังกฤษ คือสิ่งที่เขาต้องการพิสูจน์ตนเองว่าเขาพร้อมแล้วสำหรับการต่อสู้ในฤดูกาลใหม่ ท่ามกลางข่าวที่ว่าเขาอาจจะโดนปล่อยออกจากทีม
“อาร์เซนอล เป็นสโมสรของผม ผมจะไม่ยอมแพ้หรอกนะ จนกว่ามิเคล อาร์เตต้า จะมาบอกว่าเขาไม่ต้องการให้ผมอยู่ในทีมอีกแล้ว ซึ่งเขาบอกว่าเขาต้องการผมในทีมของเขา ส่วนผมก็มีหน้าที่ต่อสู้เพื่อตำแหน่งของผมในทีม ผมต้องสู้ต่อไป เหมือนที่ทีมของเราทำในฤดูกาลที่ผ่านมา มันน่าเสียดาย แต่ทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ฤดูกาลหน้าทีมจะดีกว่านี้อีกแน่”