[OPINION] ซาเน-บาเยิร์น-แมนฯ ซิตี้ : ดีลดี ๆ ที่มีแต่ได้ !
โดย ชยพล ธานีวัฒน์
ตอนนี้เราก็ได้รู้กันแล้วว่า เลรอย ซาเน อดีตปีก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมในศึก พรีเมียร์ลีก ย้ายไปเป็นสมาชิกใหม่ของ บาเยิร์น มิวนิค ยักษ์ใหญ่แห่ง บุนเดสลีกา เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
หลังจากที่ยืดเยื้อกันมานานตั้งแต่ซัมเมอร์ที่แล้ว หรือถ้าจะให้พูดกันชัด ๆ คือตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2019 ที่ ‘พี่เสือ’ เริ่มมีข่าวอย่างจริงจังกับดาวเตะตีนไวรายนี้
เดาว่าใจจริง ๆ แล้ว เป๊ป กวาร์ดิโอลา ผู้เป็นกุนซือก็ไม่อยากเสียนักเตะระดับนี้ไปแน่นอน เพราะด้วยความที่ฝีเท้าไม่เป็นสองรองใครและอายุยัง 20 ต้น ๆ สามารถใช้งานได้นานหลายปี เป็นใครก็คงแอบเสียดายไม่น้อย
แม้ว่าหนทางในการยึดตำแหน่งตัวจริงของเขานั้นจะมีทั้ง ราฮีม สเตอร์ลิง, ริยาร์ด มาห์เรซ รวมทั้ง แบร์นาโด้ ซิลวา ที่ขวางทางอยู่ แต่อะไรก็คงไม่สำคัญเท่าอาการบาดเจ็บซ้ำซากที่เจ้าตัวได้รับมาตั้งแต่ซีซันก่อนและการบาดเจ็บหนักตั้งแต่เกมคอมมิวนิตี้ชิลด์ก่อนเปิดฤดูกาลที่ผ่านมา
หลังจากนั้นมามันก็ทำให้เราแทบจะลืมหน้าดาวเตะหัวฟูรายนี้ไปจากสารบบความจำกันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม บาเยิร์น มิวนิค ก็ยังไม่ลดละความพยายาม แม้นักเตะจะได้รับบาดเจ็บหนักขนาดไหน พวกเขาก็อดทนเฝ้ารอจนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาจึงได้ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อย
แมนฯ ซิตี้ ก็รู้ดีว่าด้วยสายเลือดอินทรีเหล็กนั้นยังไงซะการได้ย้ายไปเล่นให้ ‘เสือใต้’ ก็คือความฝันของนักบอลชาวเยอรมันเกือบทุกคน
ไม่เว้นแม้แต่ ซาเน
แน่นอนว่าดีลนี้เป็นเรื่องดีสำหรับทั้ง บาเยิร์น และตัวนักเตะเองซึ่งเมื่อทั้งสองมีความต้องการตรงกัน อะไรก็หยุดไม่อยู่ และถึงแม้หลายคนจะมองว่าทีม เรือใบสีฟ้า กลายเป็นทีมที่ต้องเสียนักเตะฝีเท้าดีไป แต่เอาเข้าจริงพวกเขาก็ได้ประโยชน์จากดีลนี้ไม่น้อยเช่นกัน
แต่ก่อนจะถึงตรงนั้นเรามาดูกันก่อนว่าผลดีที่จะเกิดขึ้นกับแชมป์ บุนเดสลีกา และ เลรอย ซาเน นั้นคืออะไร
การได้แชมป์ลีก 8 สมัยติดต่อกันของ ‘พี่เสือ’ มันเป็นเรื่องที่ยากจะปฏิเสธถึงความยอดเยี่ยม ซึ่งใคร ๆ ก็มองว่าพวกเขาคงจะเป็นทีมที่คงไม่มีใครโค่นลงได้ไปอีกหลายปี แต่เมื่อดูถึงเนื้อในจะพบว่า บาเยิร์น ขาดนักเตะระดับเวิลด์คลาสที่จะเข้ามาสร้างความตื่นตัวให้กับทีมมานานหลายปีแล้ว
ดังนั้นการได้ ซาเน เข้ามาเท่ากับมา ‘เติมความสดชื่น’ ให้กับแนวรุกของทีมซึ่งถึงแม้ว่าจะดูแข็งแกร่งอยู่แล้วก็ตามแต่การได้ปีกวัย 24 ปีถือได้ว่าเป็นการเสริมทัพที่ยอดเยี่ยมที่สุดของพวกเขาในรอบหลายปีทีเดียว
ด้วยความเร็วดังม้าแข่ง. ความเฉลียวฉลาด, การผ่านบอลที่ชี้เป็นชี้ตายได้ และการจบสกอร์ที่เฉียบขาด นี่คือสิ่งที่ บาเยิร์น จะได้ไปเติมความอันตรายในแดนหน้า ซึ่งไม่ใช่แค่ขู่คู่ต่อสู้ในลีกเดียวกันให้กลัวจนหัวหดเท่านั้น พวกเขายังจะกลายเป็นทีมที่ทั่วทั้งยุโรปต้องเกรงขามอีกด้วย
และแน่นอนว่าฝีเท้าระดับ ซาเน แล้วหากได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอและโชว์ฟอร์มได้ดีอย่างต่อเนื่องกับทีมใหญ่เช่นนี้ รางวัล บัลลงดอร์ ก็คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน
ไม่ใช่แค่นั้นอดีตสตาร์ของ แมนฯ ซิตี้ ยังได้รับเงินค่าเหนื่อยมากกว่าตอนที่ค้าแข้งใน พรีเมียร์ลีก อีกต่างหาก โดยเขาตกลงเซ็นสัญญากับทางแชมป์ บุนเดสลีกา เป็นเวลา 5 ปี พร้อมรับค่าเหนื่อยมหาศาลถึง 385,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
ในขณะเดียวกันแฟนบอล เสือใต้ นั้นถวิลหานักเตะที่จะเข้ามาทดแทน ฟรองค์ ริเบรี และ อาร์เยน ร็อบเบน มานานแรมปี การได้ ซาเน เข้ามาก็ถือว่าเป็นการสร้างความคึกคักให้กับแฟน ๆ ได้ ซึ่งเขาจะได้ประสานงานด้านซ้ายร่วมกับ อัลฟองโซ เดวีส์ ดาวรุ่งที่เพิ่งมาแจ้งเกิดในซีซันนี้ แค่คิดภาพก็ตื่นเต้นกันน่าดูชมแล้ว
นอกจากเงินและกล่องที่กำลังรอคอยเขาอยู่ในอนาคต ประตูทีมชาติก็พร้อมที่จะเปิดต้อนรับเช่นเดียวกัน
คาดกันว่าสาเหตุหนึ่งที่ ซาเน ต้องการย้ายกลับมาเล่นในเยอรมนีกับ บาเยิร์น มิวนิค เป็นเพราะความเจ็บปวดที่โดนตัดชื่อออกจากทีมอินทรีเหล็กเมื่อปี 2018 ในการไปลุยฟุตบอลโลกที่รัสเซีย ซึ่งการกลับมาครั้งนี้เป็นการขอพิสูจน์ตัวเองแบบใกล้หูใกล้ตา โยอาคิม เลิฟ มากขึ้นเพื่อลุ้นมีชื่อไปเล่นฟุตบอล ยูโร 2020 ที่เลื่อนไปจัดในปีหน้าเนื่องจากปัญหาโรคระบาด
เมื่อมาถึงจุดนี้ดูแล้ว บาเยิร์น และ ซาเน มีแต่ได้กับได้ แล้วไหนล่ะข้อดีที่ แมนฯ ซิตี้ จะได้รับจากดีลนี้?
ก่อนอื่นหลายคนอาจมองว่าราคา 55 ล้านปอนด์ที่ทาง บาเยิร์น จ่ายให้กับ เดอะซิตี้เซ้นส์ นั้นถูกกว่าความเป็นจริงมาก เพราะฝีเท้าระดับนี้อย่างน้อย ๆ ต้องแตะหลัก 100 ล้านปอนด์ แต่เมื่อซื้อขายกันจริง ๆ กลับได้เพียงครึ่งเดียวมันคุ้มค่าตรงไหน?
ใจเย็น ๆ แล้วค่อย ๆ คิดกันดี ๆ ลองนึกภาพตามว่าหาก เป๊ป กวาร์ดิโอลา ไม่ตัดสินใจส่ง ซาเน ลงสนามในเกมคอมมิวนิตี้ชิลด์เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว แน่นอนว่าเขาก็คงไม่เจอกับอาการบาดเจ็บที่เอ็นไขว้หน้าและอาจจะบีบให้ทาง เสือใต้ ต้องยอมจ่ายในราคาที่พวกเขาต้องการก็ได้
แต่ก็มีเรื่องให้คิดต่อเหมือนกันเพราะอย่าลืมว่านี่คือ บาเยิร์น ที่ขึ้นชื่อเรื่องความ ‘เขี้ยวลากดิน’ ในตลาดซื้อขายทีมหนึ่งในยุโรป พวกเขาอาจจะรอให้นักเตะเข้าสู่ปีสุดท้ายของสัญญาและบีบให้สโมสรขายในราคาที่ถูกกว่าที่ตั้งไว้ก็เป็นได้
ดังนั้นการปิดดีลกันที่ 55 ล้านปอนด์จึงเป็นอะไรที่ไม่แย่จนเกินไปสำหรับ เป๊ป และ แมนฯ ซิตี้
และอีกเรื่องหนึ่งที่แฟน ๆ เดอะบลูสกาย อาจจะไม่ทันคิดหรือจำกันไม่ได้ก็คือ ฟอร์มการเล่น ณ ปัจจุบันของ ซาเน นั้นไม่ได้ยอดเยี่ยมเหมือนช่วงแรก ๆ ที่ย้ายมาอังกฤษอีกแล้ว
2 ปีแรกของเขาในถิ่น เอติฮัด นั้นถือได้ว่าเป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจ และยังเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยแรกของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา อีกด้วย
แต่เมื่อเข้าสู่ปีที่ 3 แม้ว่าทีมจะยังคงรักษาความยอดเยี่ยมด้วยการรักษาแชมป์เอาไว้ได้ แต่ตัวนักเตะเองก็ดันเกิดฟอร์มตกไม่เหมือนคนเดิมที่เคยเปรี้ยงปร้างก่อนหน้านั้น
ประตูสุดท้ายที่เขาทำได้ใน พีเมียร์ลีก ต้องย้อนไปเมื่อเดือนเมษายน ปี 2019 ในเกมที่บุกไปเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ถึง โอลด์ แทรฟฟอร์ด แต่ในนัดถัดมาที่ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมกับ เบิร์นลีย์ เขาก็โชว์ฟอร์มได้ย่ำแย่จนต้องโดนเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 64 ของการแข่งขัน
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ได้ทำให้ความสามารถในเชิงลูกหนังของเขาต้องถดถอยก็ตาม แต่สัญญาณที่ส่งออกมาตลอดฤดูกาล 2018-2019 นั้นแสดงให้เราเห็นว่า เลรอย ซาเน ไม่ใช่นักเตะริมเส้นที่สามารถเป็นที่พึ่งของทีมได้อีกต่อไป
ซิตี้ อาจจะเสียยอดนักเตะ แต่อย่างน้อยเงินจำนวน 55 ล้านปอนด์นั้นพวกเขาก็สามารถนำมาเล่นแร่แปรธาตุเป็นนักเตะระดับท็อปคนใหม่ที่ต้องการย้ายมาร่วมงานกับ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ได้
ส่วนมันจะเวิร์คหรือไม่นั้นก็คงต้องเป็นเรื่องของอนาคต แต่ ณ วันนี้ที่พวกเขาไม่มีนักเตะที่ชื่อ เลรอย ซาเน อยู่ในทีมก็ดูเหมือนว่าไม่ได้ส่งผลต่อฟอร์มอันยอดเยี่ยมซักเท่าไหร่นัก
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น ! * ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใด ๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฎหมายที่ระบุไว้สูงสุด