โรแบร์โต้ เดอ แซร์บี้ จากผู้จัดการทีมทีมตกชั้น สู่การเป็นโค้ชมือทองของ ไบรท์ตัน - OPINION

Stoke City v Brighton and Hove Albion: Emirates FA Cup Fifth Round
Stoke City v Brighton and Hove Albion: Emirates FA Cup Fifth Round / James Gill - Danehouse/GettyImages
facebooktwitterreddit

นี่คือช่วงเวลาพิเศษสำหรับกองเชียร์ ไบรท์ตัน ใน พรีเมียร์ลีก อย่างแท้จริง หลังจากที่ทีมรักของพวกเขากำลังอยู่ในเส้นทางสู่การจบฤดูกาลด้วยอันดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร และกำลังจะเดินทางไปยังสนาม เวมบลีย์ ช่วงปลายเดือนนี้เมษายนนี้ เพื่อเผชิญหน้ากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ

ความแข็งแกร่ง และผลงานที่น่าประทับใจของ ไบรท์ตัน นั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าต้องยกเครดิตให้กับ โรแบร์โต้ เดอ แซร์บี้ กุนซือชาวอิตาเลียน ที่เข้ามาคุมทีมต่อจาก เกรแฮม พ็อตเตอร์ เมื่อปลานเดือนกันยายนปีที่แล้ว

Roberto De Zerbi
Brighton & Hove Albion v Grimsby Town: Emirates FA Cup Quarter Final / Mike Hewitt/GettyImages

เดอ แซร์บี้ เข้ามาสานงานต่อจาก พ็อตเตอร์ ได้อย่างไร้ร้อยต่อ ซึ่งยังคงทำให้ ไบรท์ตัน เป็นทีมที่เล่นฟุตบอลได้สวยงาม ครองบอลยอดเยี่ยม มีการเข้าทำที่หลากหลาย และเค้นศักยภาพนักเตะ “นกนางนวล” ออกมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

ซานโดร อดีตกองกลางชาวบราซิล ซึ่งเคยร่วมงานกับ เดอ แซร์บี้ ที่ เบเนเวนโต กล่าวว่า “เขาเป็นผู้จัดการทีมที่ต้องการครองบอลตลอดเวลา เขาเป็นคนที่ชาญฉลาด และมีรายละเอียดเกี่ยวกับเกมเยอะมาก เขาช่วยเหลือผู้เล่นในทีม และให้รายละเอียดที่พวกเขาต้องการเพื่อเอาชนะคู่แข่ง”

เดอ แซร์บี้ ไม่เคยกลัวความท้าทาย เขาตัดสินใจรับงานกับ เบเนเวนโต เมื่อเดือนตุลาคมปี 2017 ซึ่งทีมกำลังหนีตกชั้นจากศึก เซเรีย อา อย่างหนัก ซึ่ง ซานโดร ที่ย้ายมาจาก อันตัลยาสปอร์ ในเดือนตุลาคมปี 2018 ด้วยสัญญายืมตัวก็อยู่ในทีมชุดดังกล่าวด้วย

“ผมเป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดนั้น ผมไม่รู้ว่าผมกำลังจะได้พบกับหนึ่งในโค้ชที่ดีที่สุดที่ผมเคยเจอมาก่อน มันวิเศษมาก เพราะผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากเขา และผมก็สนุกกับการเล่นให้เขามาก ผมเห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่รอเขาอยู่”

“เมื่อผมไปถึง เบเนเวนโต ผมเป็นผู้เล่นที่มีประสบการณ์แล้ว และผมได้เห็นโค้ชมากมายตลอดอาชีพ เขาทำให้ผมเล่นด้วยความกระตือรือร้นได้ ผมคิดล่วงหน้าเสมอว่า เขาจะสอนอะไร และผมต้องทำให้ดี ผมต้องการเล่นเพื่อเขา”

เบเนเวนโต ประสบกับความพ่ายแพ้ 20 เกม จาก 29 เกม ภายใต้การคุมทีมของ เดอ แซร์บี้ แต่เขาไม่เคยปล่อยให้อารมณ์ในห้องแต่งตัวกลายเป็นความสิ้นหวัง แต่กลับสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เล่นเดินหน้าสู้ต่อไปจนจบ แม้ว่าทีมจะต้องตกชั้นก็ตาม

ซานโดร กล่าวเสริมว่า “เขาเป็นคนเปิดเผย และมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขานั้นยอดเยี่ยมมาก ผมเป็นกัปตันทีมของเขาในตอนนั้น เขาเปิดเผยมากเมื่อพูดคุยกับผม มันยอดเยี่ยมมากเ พราะผมสามารถพัฒนาการเล่นฟุตบอล และพูดในสิ่งที่ผมต้องการได้”

“สิ่งแรกที่ผมเห็นจากเขาคือ ผู้จัดการทีมที่กระหายความสำเร็จ เขาหลงใหลในเกมมาก ผมคิดว่านั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงพัฒนาขึ้นทุกวัน”

Roberto De Zerbi
Brighton & Hove Albion v Crystal Palace - Premier League / Justin Setterfield/GettyImages

แม้จะพา เบเนเวนโต ตกชั้น แต่ เดอ แซร์บี้ ยังคงได้รับคำชมมากมายจากความกล้าหาญ และความมุ่งมั่นในการทำงาน ซึ่งทำให้ ซาสซูโอโล่ รีบคว้าตัวเขาไปคุมทีมทันทีในช่วงซัมเมอร์นั้น และสร้างผลงานที่น่าประทับใจตลอด 3 ปี กับสโมสร

ฟิลิป ดูริซิซ อดีตกองกลาง ซาสซูโอโล่ กล่าวว่า “มันสนุกมากที่ได้เล่นในทีมของเขา ผมเคยเล่นให้กับหลายสโมสร และโค้ชของผมบางคนเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม เช่น มาร์โก ฟาน บาสเท่น, โรนัลด์ คูมัน, ซินิซา มิไฮโลวิช แต่ผมไม่เคยสนุกเหมือนตอนเล่นกับ โรแบร์โต้ เลย”

“เขามองฟุตบอลในมุมที่ต่างออกไป เขาเหมือนนักเตะหมายเลข 10 แต่สวมชุดโค้ช เขาแสดงให้คนอิตาลีเห็นถึงวิธีการเล่นฟุตบอลที่แตกต่างออกไป เรากล้าหาญมาก และเราไม่กลัวใคร มันเป็นสไตล์ฟุตบอลที่ซับซ้อนมาก แต่เมื่อคุณดูในทีวี มันออกมาดีมาก เมื่อผมดู ไบรท์ตัน เล่นในบางครั้ง ผมหัวเราะกับตัวเองเพราะผมจำสถานการณ์ได้เลย เขาใส่ความคิดของตัวเองลงไปในความคิดของลูกทีมอย่างเหมาะสม”

แม้จะเป็นกุนซือที่นักเตะหลายคนอยากร่วมงานด้วย แต่ เดอ แซร์บี้ ยังคงมีช่องว่าง และมีความเข้มงวด ซึ่งหากใครละเมิดกฎที่วางเอาไว้ก็ต้องเจอกับบทลงโทษเช่นกัน และสำหรับ ดูริซิซ ก็เจอเหตุการณ์ดังกล่าวมาแล้ว

“เราโต้เถียงกันเรื่องแท็คติก ผมไม่ชอบอะไรบางอย่าง และแสดงปฏิกิริยามากเกินไป เขาลงโทษผมด้วยการตัดผมออกจากทีม 1 เกม หลังจากนั้น ทุกอย่างก็กลับสู่ปกติ และผมก็เล่นเป็นประจำ เขาชอบพูดอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ ผมพบว่าตัวเองกำลังสร้างผิดพลาด ผมขอโทษ และเราแก้ไขมันได้”

หลังจากประสบความสำเร็จกับ ซาสซูโอโล่ เดอ แซร์บี้ ก็โยกไปคุม ชัคตาร์ โดเน็ตส์ก ในยูเครน 1 ปี ก่อนจะข้ามมาเขย่าวงการฟุตบอล พรีเมียร์ลีก กับ ไบรท์ตัน ซึ่งหากดูจากผลงานเชื่อได้ว่า อีกไม่นาน เทรนเนอร์เลือดมะกะโรนี รายนี้คงได้อำลา “นกนางนวล” ไปยังสโมสรใหญ่กว่านี้แน่นอน