ไรซ์ - ไคเซโด้ “ดีลที่ไม่ง่ายเลยสำหรับ อาร์เซนอล” - OPINION

Leicester City v West Ham United - Premier League
Leicester City v West Ham United - Premier League / Malcolm Couzens/GettyImages
facebooktwitterreddit

ตลาดการซื้อขายรอบใหม่ประจำฤดูกาล 2023-2024 เริ่มต้นกันอย่างไม่เป็นทางการแล้ว หลายสโมสรเริ่มเดินหน้าตามแผนงานในการเสริมทีมกันไปบ้างแล้ว สำหรับฤดูกาลใหม่ที่จะเร้าใจยิ่งกว่าเดิม

หลายทีมมีเป้าหมายที่สูงขึ้น หลายทีมต้องการยกระดับการเล่น และแน่นอนอีกหลายทีมที่ต้องทำทุกทางเพื่อการอยู่รอดในลีกสูงสุดต่อไปอีกหนึ่งฤดูกาล

อาร์เซนอล เป็นหนึ่งในสโมสรที่ฤดูกาลที่ผ่านมาก้าวไปถึงจุดที่หลายคนคาดไม่ถึงกับการลุ้นแชมป์ได้จนถึงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล แม้สุดท้ายจะอ่อนแรงลงจนจบด้วยรองแชมป์ แต่พวกเขาก็ได้ตามเป้าหมายกับการเล่นในแชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้ง เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี

โพสนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ มีผิดแน่นอน เพราะไม่ใช่ทีมดีลของสโมสร แต่ถ้าถูกต้องแบบที่คิดก็ยอดเยี่ยม เพราะตรงใจที่อยากได้ครับ

มอยเซส ไคเซโด้ (21 ปี สัญญาถึงกลางปี 2027) นักเตะอยากย้ายออกชัดเจนมานานตั้งแต่มกราคม 2023 รู้กันทั้งวงการ ถึงขั้น 2-3 วันสุดท้ายของตลาดรอบก่อนนักเตะแจ้งขอย้ายทีม (Transfer Request) สุดท้ายไม่ได้ย้ายเพราะไบร์ทตันเก็บไว้ลุ้นพื้นที่ยุโรป ซึ่งก็ได้จริง ๆ แถมมีการต่อสัญญาใหม่กันออกไปอีก 4 ปี + 1 ปี อย่างไรก็ตามดีลนี้ว่ากันว่ามี “สัญญาใจ” กันว่าถ้าดีลราคาจบได้ พวกเขาจะปล่อยนักเตะออกจากทีม

ไคเซโด้ ปราดเปรียว ครองบอลดี ดักบอลจังหวะสองดี หลายครั้งดันเกมบุกไปด้วยตัวเองก็ได้ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาโชคดีมากที่ไม่เคยเจ็บหนัก ๆ เลย เพราะบอลสไตล์แตะหลบแล้วไปของเขา เป็นสไตล์เสี่ยงเจ็บ เล่นบอลในพื้นที่แคบที่หลายครั้ง ชนะการดวลคู่แข่งแบบฉิวเฉียดแบบ “ได้บอลกับโดนเตะ” ต่างกันแค่เสี้ยววินาที  

ทุนค่าตัวนักเตะคือ 5 ล้านยูโร ตามข่าวคือไบร์ทตันอยากได้ประมาณ 87 ล้านยูโร (75 ล้านปอนด์) มากกว่า 17 เท่าจากตอนซื้อในปี 2021 บางสื่อก็บอกจะโขลกกันไปถึง 100 ล้านปอนด์ ซึ่งแน่นอนว่าการเจรจาต่อราคาก็ต้องเกิดขึ้น ดีลนี้ค่อนข้างโหดตรงที่สัญญาเหลือเยอะมาก ยังไม่รวมถึงคู่แข่งที่ก็อยากได้ด้วย โดยเฉพาะสายปาดอย่างเชลซี

ดีแคลน ไรซ์ (24 ปี สัญญาถึงกลางปี 2024) บอกก่อนเลยว่า ไรซ์ สัญญาปีนี้ไม่ใช่สัญญาปีสุดท้าย เพราะสโมสรมีออฟชั่นต่อเพิ่มได้อีก 1 ปี ดังนั้นหากการเจรจาในตลาดรอบนี้ไม่จบสิ้น ไรซ์ ก็อาจต้องไปว่ากันใหม่สิงหาคมหน้า สถานการณ์ของไรซ์ จึงไม่เร่งรีบนักสำหรับขุนค้อนในการขายออก แต่พวกเขาก็พร้อมปล่อยนักเตะ ที่พวกเขาดึงมาจากเชลซีในระดับเยาวชนตั้งแต่ปี 2013 ผ่านมา 10 ปี นี่คือกัปตันทีมของสโมสรนี้ เพื่อตอบแทนความภักดี และนักเตะก็มองถึงความสำเร็จในอนาคตข้างหน้า

แม้จะเล่นในพื้นที่เดียวกัน แต่ ไรซ์ ต่างจาก ไคเซโด้ เขาไม่ใช่นักเตะปราดเปรียว บางจังหวะดูจะทื่อ ๆ ไปบ้างในการครองบอล เอาตัวรอดจากคู่แข่ง เล่นบอลในแบบทำหน้าที่ของตัวเอง ฝากบอลไปให้แนวรุกเข้าทำ ตรงนี้ลดความเสี่ยงในการเข้าปะทะไปได้เยอะ น้อยครั้งที่จะล่อให้นักเตะคู่แข่งเข้าระยะประชิดแล้วเอาชนะด้วยการเลี้ยงฝ่าเข้าไป

เวสต์แฮม กำลังจะลงเล่นใน ยูฟ่า ยูโรป้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก ในอีก 2 วันข้างหน้านี้ ดังนั้นดีลไรซ์ คุยกันยังไงก็ต้องผ่านวันชิงดำไปก่อน นักเตะก็ออกมาบอกเรื่องการมุ่งสมาธิในเกมกับฟิออเรนติน่าไว้ชัดเจนว่า เขาจะสู้เพื่อสโมสรของเขาในวันประวัติศาสตร์นี้ และแน่นอนราคาค่าตัวก็ขูดเลือดขูดเนื้อแน่นอน เช่นเดียวกับที่ว่า ผลของเกมชิงดำจะออกมาเป็นแบบไหน มันจะส่งผลต่อความรู้สึกและการตัดสินใจของไรซ์แน่นอน เพราะเขาค่อนข้างชัดเจนว่าผูกพันกับทีมมาก

Moises Caicedo
Brighton & Hove Albion v Manchester City - Premier League / Craig Mercer/MB Media/GettyImages

ใครคุ้มกว่า?

คำถามนี้ ตอบยากมาก เพราะสุดท้ายแล้วขึ้นกับหลายปัจจัย ที่ต้องรอให้เกิดขึ้นจริงแล้วถึงจะสามารถตอบได้ทั้งมูลค่าที่ซื้อขายกัน หรือว่าผลงานเมื่อย้ายมาร่วมงานด้วย

ส่วนตัวมองในแบบภาพกว้างไว้ก่อน เพราะถึงวันนี้นักเตะทั้งสองคนก็ยังไม่ย้ายทีม มองแบบคนไกล แฟนบอลทีมอื่นที่ชอบทั้งสองคน ส่วนตัวชอบพี่ข้าวมากกว่าน้องไค

ภาวะความเป็นผู้นำ : ไรซ์ กัปตันทีมสโมสรเวสต์แฮม ภาพลักษณ์ของเขาทำให้แฟนเวสต์แฮมหลายคนคิดถึง บ๊อบบี้ มัวร์ กัปตันผู้ยิ่งใหญ่ของสโมสร กับทีมชาติก็เป็นไปได้สูงว่าอีกไม่ช้าเขาจะได้รับปลอกแขนสิงโตคำราม ตรงนี้ ไคเซโด้ ไม่ได้แสดงออกมาในเรื่องนี้ หรือถ้ามีก็ยังไม่ชัดเจน

สไตล์ : ไรซ์ มีสไตล์การเล่นที่เป็นทีม และใช้ทีมในการขับเคลื่อนเกมมากกว่าไคเซโด้ ที่ใช้สกิลส่วนตัวผลักดันตัวเองจนเป็นส่วนหนึ่งของทีม ถ้ามองกันที่ลูกหวือหวา ไคเซโด้สไตล์บอลน่าตื่นเต้นกว่าไรซ์ ลูกห้าวลูกสดดูดีกว่า แต่อาจเพราะผู้เขียนอายุมากแล้ว เรื่องความเสี่ยง…เสี่ยงเท่าที่จำเป็น

การพิสูจน์ตัวเอง : ไรซ์ อยู่ในลีกนี้มานานกว่ามาก นับเฉพาะในระดับท็อปก็ 6 ฤดูกาลแล้ว ส่วน ไคเซโด้ เพิ่งผ่านมา 1 ฤดูกาลครึ่งเท่านั้น

อายุ : ไรซ์ 24 ปี ขณะที่ ไคเซโด้ 21 ปี ส่วนต่างสามปีไม่มากนัก ทั้งสองคนโชคดีมากที่ไม่เคยเจออาการบาดเจ็บหนักรบกวนเส้นทางแห่งการพัฒนาตนเอง ถ้ามองที่อายุ ไคเซโด้ อายุการใช้งานยาวนานกว่า และยังมีจุดพัฒนาตนเองได้อีกอย่างน้อยช่องว่างอายุ 3 ปีที่น้อยกว่า หากพัฒนาให้ถูกทางก็อาจไปได้ไกลกว่าไรซ์ แต่ ไรซ์ ผลงานก็เปล่งปลั่งพร้อมใช้งานได้แล้ว

ภาพลักษณ์ : เรื่องนี้เป็นมุมมองความเห็นส่วนตัวมาก แต่มองว่า ไรซ์ เป็นนักเตะระดับท็อปสตาร์ของพรีเมียร์ ลีก เขาไม่ใช่นักเตะที่เก่งเพียงอย่างเดียว แต่เรื่องของชื่อเสียง การได้รับการยกย่องจากสื่อรอบตัวเขา เขาก็ดูแลตัวเองได้ดี การที่มีข่าวกับ บาเยิร์น มิวนิค หรือหลายทีมระดับท็อป มันก็เป็นเรื่องที่ชัดเจนว่า นี่คือข่าวการย้ายทีมของซูเปอร์สตาร์ ขณะที่ ไคเซโด้ เป็นนักเตะที่เก่งมากในงานของตัวเอง แต่เขายังอยู่ในจุดที่ยังไม่ฉายแววของความเป็นสตาร์ออกมาอย่างเต็มที่ ภาพที่ออกมา หาก อาร์เซนอล เซ็นสัญญากับ ไรซ์ จะเป็นความรู้สึกถึงการที่อาร์เซนอลชนะยอดทีมจากยุโรป รวมถึงในลีกเดียวกัน ปิดดีลเขามาร่วมงานด้วยได้ แต่ถ้าได้ตัว ไคเซโด้ อาร์เซนอล จะได้ตัวนักเตะที่เก่งมาก และอายุน้อย มาร่วมงานด้วยในราคามหาศาล ความรู้สึกตรงนี้ต่างกัน

หัวข้อนี้ตอนเขียนเรื่องนี้ผมคิดถึงว่าทำไม เรอัล มาดริด ถึงปล่อย เคย์ลอร์ นาบาส และ ซื้อ ติโบลด์ กูร์ตัวร์ส เข้ามาร่วมงานด้วย เพราะเหตุผลคือ นาบาส ไม่ได้เป็นสตาร์ในความรู้สึกของเปเรซ แม้ว่าจะเป็นยอดนายทวารแถวหน้าของโลกก็ตาม

ถึงบรรทัดนี้ อาร์เซนอล ยังไม่สามารถจะปิดดีลนักเตะคนไหนในสองคนนี้ได้เลย แม้จะมีข่าวออกมาแทบทุกวัน ซึ่งก็ต้องบอกว่าทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น กับตลาดการซื้อขายรอบใหม่ที่จะมาถึงนี้ แต่การ “ล็อคเป้า” ก็เริ่มต้นขึ้นมานานแล้ว อยู่ที่ว่าจะได้ตามเป้าหมายหรือไม่เท่านั้น

ท้ายที่สุดแล้วการเซ็นสัญญาของนักเตะสองคนนี้ อาจจะต้องเตรียมงบประมาณกันอย่างน้อยคนละ 80 ล้านปอนด์ เพื่อการดึงตัวมาร่วมงานด้วย และมองว่า อาร์เซนอล ซึ่งก็ไม่ได้ว่าซื้อกองกลางแล้วทุกอย่างจะจบ ยังมีอีกหลายตำแหน่งที่ต้องการปรับปรุง ดังนั้น กองกลาง ยังไงก็ต้องซื้อ แต่ก็ต้องเตรียมงบสำหรับตำแหน่งอื่นด้วย เช่นเดียวกับเรื่องของการขายนักเตะที่มีอีกหลายคนรอลุ้นอนาคตของตัวเองว่าจะไปในทิศทางใดข้างหน้า รวมถึง ทีมงานอาร์เซนอลจะ “ขาย” เก่งเหมือน “ซื้อ” หรือเปล่าก็เป็นเรื่องที่น่าติดตามกันต่อไปครับ