ย้อนดูหนึ่งแต้มสำคัญของ ลิเวอร์พูล ที่อาจส่งผลต้อการลุ้นแชมป์ในช่วงท้ายฤดูกาล - OPINION

  • ลิเวอร์พูล บุกไปเสมอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
  • ทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ยังแข็งแกร่ง
  • เป็น 1 คะแนนที่สำคัญแก่การลุ้นแชมป์
Manchester City v Liverpool FC - Premier League
Manchester City v Liverpool FC - Premier League / Visionhaus/GettyImages
facebooktwitterreddit

ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ภายใต้การนำทัพของ เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน ยังคงทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่งด้วยการบุกไปเสมอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-1 ในเกมลีกที่สนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ก่อนเกมจะเริ่มขึ้น คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์ว่า พลพรรค “หงส์แดง”จะต้องเล่นด้วยฟอร์มที่ดีที่สุดหากหวังจะมีคะแนนกลับออกไป โดยห้วงที่ผ่านมา ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยอดผู้จัดการทีมชาวสเปน เดินหน้าเก็บชัยชนะที่บ้านรวมทุกรายการมาแล้วถึง 23 เกมติดต่อกัน 

Virgil van Dijk, Erling Haaland
Manchester City v Liverpool FC - Premier League / Michael Regan/GettyImages

ในครึ่งแรกดูเหมือนว่า ลิเวอร์พูล ไม่สามารถหยุดยั้งการเปิดเกมรุกของ แมนฯ ซิตี้ ได้มากนัก และโดนเจ้าบ้านสร้างความกดดันใส่หลายจังหวะ ก่อนที่ เออร์ลิง ฮาแลนด์ กองหน้า “เรือใบสีฟ้า” จะโชว์ความเฉียบขาดยิงเสียบเสาเข้าไป ซึ่งถือเป็นประตูแรกของเจ้าตัวที่ยิง “หงส์แดง” ได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ครึ่งหลัง นักเตะ ลิเวอร์พูล เริ่มตั้งเกมได้ และมีสมาธิมากขึ้น ก่อนจะอาศัยช่องว่างบริเวณกรอบเขตโทษของ แมนฯ ซิตี้ ยิงประตูตีเสมอจาก เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็คขวารองกัปตันทีม พร้อมแชร์แต้มกลับออกมาได้สำเร็จ

แม้ว่า ลิเวอร์พูล จะพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ แต่หากมองในภาพรวม พวกเขาก็ยังมีปัญหาอยู่ในบางจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดพลาดส่วนบุคคล อาทิ จังหวะเสียประตูที่ อลิสซอน เบ็คเกอร์ โกล์ชาวบราซิล เป็นคนเปิดบอลพลาด 

ขณะเดียวกัน ในจังหวะเสียประตู เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กองหลังกัปตันทีม ลิเวอร์พูล ก็ปล่อยพื้นที่ให้กับ ฮาแลนด์ มากเกินไป แต่หลังจากนั้น บรรดาแผงแบ็คโฟร์ “หงส์แดง” ก็รวบรวมสติกลับมาได้อีกครั้งโดยที่ยังไม่เสียประตูที่ 2

Julian Alvarez, Alexis Mac Allister
Manchester City v Liverpool FC - Premier League / Michael Regan/GettyImages

แน่นอนว่า มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ ลิเวอร์พูล จะแชร์แต้มจาก แมนฯ ซิตี้ มาได้ โดยไม่มี อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ยืนประจำการเป็นกองกลางตัวรับหมายเลข 6 โดยดาวเตะวัย 24 ปี ทำงานหนักในการช่วยไล่ตัดเกม ขึ้นเกม คุมจังหวะ และกระจายบอลไปทั่วสนาม

มิดฟิลด์ทีมชาติอาร์เจนตินา พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่า เป็นหนึ่งในกองกลางชั้นยอดของศึก  พรีเมียร์ลีก โดย แม็ค อัลลิสเตอร์ มีสถิติในเกมกับ แมนฯ ซิตี้ ด้วยการสกัดบอล 2 ครั้ง, เคลียร์บอล 2 ครั้ง, แย่งบอลกลับมาครองได้ 3 ครั้ง และเป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล ที่มีความแม่นยำในการผ่านบอลมากที่สุดจำนวน 93.2%

หลังจบพักเบรกทีมชาติรอบนี้ คล็อปป์ ได้ขุมกำลังสำรองที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม โดยผู้เล่นอย่าง ไรอัน กราเฟนแบร์ช และ หลุยส์ ดิอาซ ก็ถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองแทนที่ของ เคอร์ติส โจนส์ และ ดิโอโก้ โชต้า และทั้งคู่ก็ช่วยให้เกมฝั่งซ้ายของ ลิเวอร์พูล ดูสมดุลมากกว่าครึ่งแรกอีกด้วย

ขณะที่ โคดี กัคโป ก็ได้ลงมาแทน โดมินิค โซบอสไล ที่เริ่มหมดแรง ส่วน ฮาร์วีย์ เอลเลียต และ วาตารู เอ็นโด ก็ถูกส่งลงมาทำหน้าที่ในช่วงท้ายเกมแทน ดาร์วิน นูนเญซ และ แม็คอัลลิสเตอร์ ที่ต้องเดินทางไกลกลับมาจากการรับใช้ชาติ

เห็นได้ชัดเจนเลยว่า บรรดานักเตะสำรองทั้งหมดช่วยให้ คล็อปป์ มีทางเลือกมากขึ้น และมีความสดใหม่ในสนามในการไล่บีบพื้นที่ของ แมนฯ ซิตี้ และถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ “หงส์แดง” มีคะแนนสุดล้ำค่ากลับออกมา ซึ่งอาจเป็นแต้มสำคัญที่ทำให้พวกเขามีลุ้นแชมป์ไปจนถึงช่วงท้ายของซีซัน