เหตุผลสำคัญที่ แมนฯ ซิตี้ ต้องซื้อ แฮร์รี เคน และ แจ็ค กรีลิช - OPINION

FBL-EURO-2020-2021-MATCH32-CZE-ENG
FBL-EURO-2020-2021-MATCH32-CZE-ENG / FRANK AUGSTEIN/Getty Images
facebooktwitterreddit

คงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจนักที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์ พรีเมียร์ลีก เมื่อฤดูกาลที่แล้วกำลังตกเป็นข่าวกับผู้เล่นทีมชาติอังกฤษอย่าง แฮร์รี เคน และ แจ็ค กรีลิช ในเวลานี้

และถ้าข่าวตามหน้าสื่อเป็นจริง พวกเขาก็มีชื่อของ รีซ เจมส์ แบ็คขวาของทาง เชลซี อีกคนที่อยู่ในลิสต์รายชื่อการเสริมทัพใน ตลาดซื้อขายนักเตะ ช่วงซัมเมอร์ด้วย

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเรามักพบว่าผู้เล่นที่คุ้มค่าคุ้มราคาส่วนใหญ่ใน พรีเมียร์ลีก จะเป็นนักเตะต่างชาติ ในขณะที่นักเตะสัญชาติผู้ดีนั้นมักจะมาพร้อมกับราคาระดับพรีเมียม ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ ซิตี้ ปฏิเสธที่จะสู้ราคาของ แฮร์รี แม็คไกวร์ เมื่อ 3 ปีก่อน

แม้ว่าพวกเขาจะเซ็นสัญญากับ ไคล วอล์คเกอร์, จอห์น สโตนส์ และ ราฮีม สเตอร์ลิง ซึ่งนักเตะเหล่านี้มีค่าตัวรวมกันกว่า 150 ล้านปอนด์ ก็ยังทำให้ ซิตี้ โดนครหาว่าเป็นพวกมือเติบ อวดรวย ใช้เงินฟาดแชมป์ อยู่ดี

Phil Foden, Kyle Walker, Raheem Sterling, John Stones
Manchester City v Everton - Premier League / Michael Regan/Getty Images

แต่มันคือความเป็นจริงของตลาดซื้อขายใน พรีเมียร์ลีก ทุกวันนี้ ซึ่งสโมสรและแฟนบอลก็ต้องยอมรับให้ได้ และไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมค่าตัวของ เคน และ กรีลิช จึงรวมกันกว่า 200 ล้านปอนด์

แล้วทำไม แมนฯ ซิตี้ จึงต้องยอมจ่ายเงินจำนวนมหาศาลซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าที่พวกเขาเคยจ่ายให้กับนักเตะอังกฤษคนอื่น ๆ

เหตุผลที่สามารถใช้อธิบายได้ดีก็คือ ใน พรีเมียร์ลีก มีกฎหนึ่งชื่อว่า “Homegrown players” ซึ่งหมายถึงการที่แต่ละทีมต้องมีนักเตะที่มาจากอคาเดมีของสโมสรในอังกฤษหรือมีผู้เล่นที่มีสัญชาติอังกฤษอยู่ในทีม

แต่ละทีมจะลงทะเบียนนักเตะที่ใช้แข่งฟุตบอลลีกในประเทศได้ 25 คน โดยจะอนุญาตให้มีผู้เล่นที่มาจากต่างประเทศได้ 17 คนและนอกนั้นอีก 8 คนคือ “Homegrown players” ดังที่ว่ามา

John Stones, Declan Rice, Kalvin Phillips, Jack Grealish, Raheem Sterling, Luke Shaw, Bukayo Saka, Kyle Walker
Czech Republic v England - UEFA Euro 2020: Group D / Neil Hall - Pool/Getty Images

เมื่อซีซันก่อน ซิตี้ มีนักเตะโฮมโกรว์นทั้งหมด 5 รายนอกจาก วอล์คเกอร์, สเตอร์ลิง และ สโตนส์ ดังที่กล่าวมาแล้ว ยังรวมไปถึง สก็อตต์ คาร์สัน และ นาธาน อาเก้ (มาจากอคาเดมีของ เชลซี) ส่วน ฟิล โฟเด้น นั้นอยู่ในโควต้านักเตะอายุต่ำกว่า 21 ปี

ซึ่งเมื่อพิจารณากันดี ๆ จะพบว่าแบ็คขวาทีมชาติอังกฤษตอนนี้อายุอานามก็ย่างเข้าวัย 30 รวมไปถึงผู้เล่นอย่าง แฟร์นันดินโญ, อิลคาย กุนโดกัน และ เควิน เดอ บรอยน์ ก็อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน ดังนั้นพวกเขาจึงอาจจะอยู่กับทีมได้อีกไม่นาน

การที่ เป๊ป และ ซิตี้ ลงทุนมหาศาลกว่า 200 ล้านปอนด์จึงเป็นเรื่องที่คิดมาแล้วว่า นอกจากจะเป็นการเติมผู้เล่นโฮมโกรว์นเข้าไปในทีมแล้ว ยังเป็นการซื้ออนาคตล่วงหน้าอย่างน้อยก็ 3-4 ปีต่อจากนี้ เพื่อรักษาความสมดุลในทีมและลุ้นแชมป์ได้ยาว ๆ ด้วย

ซึ่งการเดินแผนนี้ของทีม เรือใบสีฟ้า ทำให้พวกเขาดูเหมือนจะก้าวนำหน้าคู่แข่งแย่งแชมป์โดยตรงอย่าง ลิเวอร์พูล ไปหลายก้าวอยู่ทีเดียว

Jurgen Klopp
Liverpool v Crystal Palace - Premier League / Gareth Copley/Getty Images

ในช่วง 3 ปีหลัง หงส์แดง ถูกยกให้เป็นเต็งแชมป์ พรีเมียร์ลีก เคียงข้างทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา มาตลอด แม้ว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซี จะดูมีขุมกำลังที่ดีกว่าก็ตาม

แต่ด้วยฝีมือของ เยอร์เก้น คล็อปป์ คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าหากพวกเขาฟูลทีมก็ยากที่จะมีใครหยุดยั้งความร้อนแรงได้

หากแต่ในซัมเมอร์นี้ ลิเวอร์พูล อาจกลับมาเจอกับปัญหาเรื่องขุมกำลังเชิงลึกอีกครั้ง โดยเฉพาะโควต้าโฮมโกรว์น

เมื่อซีซันที่แล้ว หงส์แดง มีนักเตะที่เกิดและเติบโตจากสโมสรในอังกฤษอยู่ 9 ราย แต่ส่วนใหญ่คือผู้เล่นดาวรุ่งหรือนักเตะที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน และในช่วงซัมเมอร์นี้เกินครึ่งกำลังจะย้ายออกจากทีม รวมทั้ง เจมส์ มิลเนอร์ ก็ใกล้จะปลดระวางเต็มทีในวัย 35 ปี

Curtis Jones, James Milner
Liverpool v Newcastle United - Premier League / Clive Brunskill/Getty Images

พูดง่าย ๆ ว่าทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะเหลือนักเตะโฮมโกรว์นจริง ๆ อยู่เพียงไม่กี่คน และเอาที่ใช้งานได้จริง ๆ ก็มีไม่ถึง 3 รายด้วยซ้ำ

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็อายุเข้าหลัก 30 ไปแล้ว ไหนจะปัญหาอาการบาดเจ็บที่ทำให้เจ้าตัวไม่สามารถลงสนามได้อย่างต่อเนื่องอีก ซึ่งเคสนี้รวมถึง โจ โกเมซ และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน เข้าไปด้วย

ที่ลงเล่นได้สม่ำเสมอมีแค่รายเดียวคือ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ส่วน 2 ดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง เคอร์ติส โจนส์ และ ฮาร์วีย์ เอลเลียต ก็ยังไม่ใช่ 11 ตัวจริง ยังไม่ต้องพูดถึง เบน เดวีส์, เนโก้ วิลเลียมส์, นาธาเนียล ฟิลลิปส์, รีห์ส วิลเลียมส์, เบน วูดเบิร์น และ แฮร์รี วิลสัน ซึ่งพวกนี้ไม่ย้ายแบบถาวรก็คงเป็นการยืมตัว

เมื่อขุมกำลังในประเทศส่วนใหญ่กลายเป็นตัวสำรอง พวกเขาก็ต้องพึ่งนักเตะต่างชาติมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ขาดสมดุลเรื่องคุณภาพภายในทีมไปโดยทันที

FBL-EURO-2020-2021-MATCH32-CZE-ENG
FBL-EURO-2020-2021-MATCH32-CZE-ENG / FRANK AUGSTEIN/Getty Images

ซึ่งเมื่อเทียบกับ 11 ตัวจริงของ แมนฯ ซิตี้ หากว่าได้ แฮร์รี เคน และ แจ็ค กรีลิช มาร่วมทีม จะทำให้พวกเขามีนักเตะอังกฤษแท้ ๆ ถึง 5 คนที่สามารถเล่น 11 ตัวจริงได้เลย

ยังไม่นับพวกนักเตะต่างชาติฝีเท้าดีที่พร้อมสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันลงสนามตลอดทั้งฤดูกาล

ดังนั้นจึงพูดได้ว่าการลงทุน 200 ล้านปอนด์นอกจากจะทำให้ แมนฯ ซิตี้ เป็นทีมที่มี 11 ตัวจริงน่ากลัวแล้ว ยังทำให้พวกเขามีตัวสำรองที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก

เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งเดียวที่ ลิเวอร์พูล, แมนฯ ยูไนเต็ด และ เชลซี ทำได้ก็คงได้แต่ภาวนาว่าขอให้ข่าว แฮร์รี เคน กับ แจ็ค กรีลิช เป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น


สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด