แก้จุดอ่อนชูจุดแข็ง ! เปิดแนวทางการเล่นที่ "อาจ" ช่วยให้ ลิเวอร์พูล กลับสู่ขาขึ้นได้อีกครั้ง - OPINION

Manchester City v Liverpool FC - Premier League
Manchester City v Liverpool FC - Premier League / Robbie Jay Barratt - AMA/GettyImages
facebooktwitterreddit

ผลงานต้องบอกว่าสุดจะบรรยายจริง ๆ สำหรับ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ที่แฟน ๆ ต่างยกให้เป็นฤดูกาลที่ตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่ เยอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาทำทีมเลยก็ว่าได้ ขนาดที่ว่ามองไปจุดไหนก็เห็นแต่ปัญหา ๆ จนแก้กันไม่ตกสัปดาห์ชนสัปดาห์กันเลยทีเดียว

ตั้งแต่ผู้รักษาประตู อลิสซอน เบ็คเกอร์ ที่ช่วงหลังเสียววาบทุกครั้งเมื่อกองหลังส่งบอลให้ ขณะที่เซ็นเตอร์แบ็คยังดีที่ได้ โคนาเต้ กลับมาจากการบาดเจ็บก็พอจะช่วยแบ่งเบาภาระ ฟาน ไดจ์ค ที่อยู่ในช่วงขาลงได้บ้าง ส่วน มาติป กับ โกเมซ นั้นเข้าขั้นโคม่าอยู่แล้ว แบ็คสองฝั่งเองที่เคยเป้นหัวใจสำคัญของระบบก็ทำผลงานได้ผิดฟอร์มโดยที่เกมรับที่ก็ไม่ได้ดีอยู่แล้วแต่ยังมีเกมรุกที่โดนเด่นมากลบจุดอ่อน แต่กลายเป็นว่าปีนี้รุกก็ไม่ได้ ทำให้ข้อด้อยในเรื่องเกมรับมันแดงฉานขึ้นมา

ส่วนกองกลางไม่ต้องพูดถึง แทบจะช่วยอะไรได้ไม่มากทั้งรุกและรับ ด้วยสังขาลและความมั่นใจที่หดหาย เรียกได้ว่ามิดฟิลด์มีไว้เหมือนให้คนครบในสนามเท่านั้น และกองหน้า ซาลาห์ ยังคงต้องแบกภาระคนเดียวเช่นเคยเพราะทั้ง นูนเญซ กัคโป ที่ได้มาใหม่ต่างยังเอาแน่เอาแน่อะไรไม่ได้ผีเข้าผีออกขาดความสม่ำเสมอ

ที่กล่าวมานี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของปัญหาที่เกิดขึ้นกับทีม แม้ว่าแนวทางของ คล็อปป์ ก็ยังคงชัดเจนดังเดิม นักเตะแกนหลักก็ยังเป็นชุดเดิมกับทีมที่ฟอร์มร้อนแรงสุด ๆ จนมีลุ้น 4 แชมป์เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา แต่ผลงานกลับต่างกันราวฟ้ากับเหวเหมือนเป็นคนละทีมกับเหมือนไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

Juergen Klopp
Chelsea FC v Liverpool FC - Premier League / Clive Rose/GettyImages

คำถามโลกแตก ณ เวลานี้คือ แล้วจะแก้ยังไง ?

แน่นอนการโละนักเตะสร้างทีมใหม่น่าจะช่วยตอบโจทย์มากที่สุด แต่... คงเป็นไปไม่ได้ที่ทีมอย่าง ลิเวอร์พูล จะทุ่มเงินในตลาดหนเดียว 300 ล้านเพื่อล่าความสำเร็จ อย่างมากซัมเมอร์นี้ก็คงดึงสตาร์เกรด A เข้าสู่ทีมได้เพียงคนหรือสองคนก็แทบจะหมดงบอยู่แล้ว นั่นหมายความว่าการซื้อตัวใหม่เข้ามาอาจแก้ปัญหาได้ แต่คงจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ฤดูกาลกว่าจะได้ขุมกำลังที่ครบและลงตัวจริง ๆ

ฉนั้นใช้ระบบการเล่นเข้าช่วยดีไหม ?

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทีมอื่น ๆ ดูจะรับมือ ลิเวอร์พูล ได้ดีขึ้นในฤดูกาลนี้นั่นก็เป็นเพราะแนวทางอันชัดเจนของ คล็อปป์ นี่เองที่เป็นดาบสองคม เพราะตลอดหลายปีมันแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย และนั่นทำให้คู่ต่อสู้เริ่มค้นหาวิธีรับมือได้ดีขึ้น ๆ ซึ่งถ้า คล็อปป์ อาจจะลองหาแผนสองแผนสามมาสำรองไว้บ้างบางทีทีมอาจจะมีมิติอื่น ๆ ในการเล่นในการแก้ไขสถานการณ์ได้มากกว่านี้

แล้วจะใช้แผนไหนดี ?

จากความเห็นส่วนตัวหลังจากที่เห็นสภาพขุมกำลังของ ลิเวอร์พูล ณ เวลานี้ บางที 4-3-3 แบบที่ใช้อยู่ประจำอาจจะไม่เหมาะนัก แล้วถ้าเป็น 3-4-3 ล่ะ แทนล่ะ !

ระบบ 3-4-3 วิงแบ็ค

เริ่มจากกลบจุดอ่อนในเกมรับด้วยการเพิ่มเซ็นเตอร์เข้าไปอีกหนึ่งคน ฟาน ไดจ์ค ที่ถนัดเป็นตัวโคเวอร์คอยยืนตรงกลางเก็บกวาดตัวสุดท้าย และให้ โคนาเต้ เป็นตัวเข้าปะทะสกรีนให้ก่อนทางกราบซ้าย และอาจจะเป็น โจ โกเมซ เป็นเซ็นเตอร์ฝั่งขวา

[โคนาเต้] - [ฟาน ไดจ์ค] - [โกเมซ]

โดยทั้ง โกเมซ และ โคนาเต้ อาจจะเติมขึ้นสูงไปช่วยเกมรุกได้บ้างตามจังหวะเวลาแล้วให้อีกฝั่งถอยลงมายืนเป็นคู่กองหลัง แต่ในภาพรวมเดาว่าอย่างน้อยการมีกองหลัง 3 คนมันก็น่าจะดีกว่าปัจจุบันที่มีแค่ 2 อย่างแน่นอน

Virgil van Dijk, Ibrahima Konate
Real Madrid v Liverpool FC: Round of 16 Second Leg - UEFA Champions League / Jonathan Moscrop/GettyImages

ส่วนกองกลางคงต้องเริ่มตั้งแต่วิงแบ็คสองฝั่งที่เราเห็นแล้วว่าทั้ง ร็อบโบ้ และ เทรนต์ ถนัดเล่นเกมรุก ฉนั้นการยืนเป็นวิงแบ็คน่าจะตอบโจทย์สุด ๆ อยากบุกไปเลยไม่ต้องพะวงหลังบ้านเพราะมีเซ็นเตอร์ถึง 3 คนคอยประคองอยู่ด้านหลัง ซึ่งนี่คือกุญแจสำคัญที่สามารถปิดจุดอ่อนแล้วเปิดช่องให้ใช้จุดแข็งในแนวทางของ คล็อปป์ ได้อย่างอิสระเต็มที่

[โรเบิร์ตสัน] - [ฟาบินโญ] - [ติอาโก้] - [อเล็กซานเดอร์ อาโนลด์]

ส่วนมิดฟิลด์ตัวกลางในระบบนี้ บทบาทเป็นแค่ตัวช่วยซัพพอร์ทเกมรุกและรับ เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้มีนักเตะตัวปั้นเกมอย่าง โมดริช หรือตัวที่จบสกอร์ได้สไตล์ เจอราร์ด แลมพาร์ด แถมเกมรุกส่วนใหญ่ของ หงส์แดง ในรอบหลายปีก็มาจากเกมริมเส้น ฉนั้นไม่จำเป็นเลยที่จะต้องอัดลงไปถึง 3 คน บางทีแค่ ฟาบินโญ ที่เน้นรับไปเลย และมีตัวที่พอจะทำเกมได้เป็นเพลย์เมคเกอร์ตัวต่ำได้อย่าง ติอาโก้ อัลคันทารา คอยช่วยถ่ายบอลออกซ้าย-ขวาเชื่อมเกมอีกแรงก็เพียงพอ

Trent Alexander-Arnold, Andrew Robertson
Crystal Palace v Liverpool FC - Premier League / Julian Finney/GettyImages

ส่วนเกมรุก 3 ประสานยังคงทำหน้าที่ตามเดิม ซาลาห์ เจาะทางขวา นูนเญซ หรือ ดิอาซ เจาะทางซ้าย ส่วนตัวเป้าที่เล่นเป็น ฟอลส์ 9 อย่าง กัคโป หรือ ฟิร์มิโน สามารถวิ่งขึ้นสุดหาพื้นที่จบสกอร์หรือจะลงมาล้วงบอลต่ำช่วยแดนกลางได้ตามจังหวะ

[นูนเญซ]-[กัคโป]-[ซาลาห์]

ซึ่งแนวรุกแดนบนแทบไม่ต้องเปลี่ยนแปลงจากระบบเดิมมากนักนอกเสียจากจะใส่กองหน้าแค่สองคนแล้วไปเติมแดนกลางในยามที่ทีมต้องการเน้นความแน่นอนมากขึ้น ซึ่งระบบนี้ดูจะสามารถยืดหยุ่นได้ดีกว่า

Cody Gakpo
Liverpool v Wolverhampton Wanderers: Emirates FA Cup Third Round / Naomi Baker/GettyImages

โดยวิธีการเล่นก็คล้าย ๆ แบบเดิมเน้นออกบอลทำเกมจากหน้าปากประตูโดยมี 3 เซ็นเตอร์ประคองรับบอล จ่ายออกซ้าย-ขวาให้วิงแบ็ค หรือแทงขึ้นตรงกลางให้สองมิดฟิลด์ถ่ายบอลต่อแทนก็ยังได้ ขณะที่เกมริมเส้นแบ็คสองฝั่งประก็ประสานงานกับ 2 แนวรุกริมเส้นจะโอเวอร์แลบขึ้นไปเปิดสุดเส้นหลังหรือจะเปิดแบบเออร์ลีครอสส์ (เปิดจากแนวลึก) ก็ตามแต่เห็นสมควรได้เลยเพราะทั้ง ร็อบโบ และ เทรนต์ วางบอลแม่นไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้ว

ขณะที่เกมรุกปีกสองฝั่งสามารถลากเลื้อยตัดเข้ากลางแล้วยิง หรือจะประสานงานทำชิ่งเข้าเขตโทษก็ได้ทั้งนั้น ส่วนกองหน้าตัวกลางคอยทำหน้าที่เชื่อมทุกอย่างเข้าด้วยกันรับบอลจากกลางหรือจะต่อบอลถ่ายบอลออกข้างและจะสอดขึ้นไปหาพื้นที่จบเองเลยก็ยังได้

ส่วนเกมรับเซ็นเตอร์ 3 คนจะเป็นปราการด่านสุดท้าย ด้านวิงแบ็คหากไม่หลุดตำแหน่งก็สามารถถอยลงมาช่วยเกมรับยืนเป็นกองหลัง 5 คนได้อีก มิดฟิลด์สองคนที่ไม่ได้เติมขึ้นสูงอยู่แล้วก็จะคอยเป็นตัวสกรีนให้ก่อนถึงหลังบ้าน

หน้า: นูนเญซ - กัคโป - ซาลาห์
กลาง: โรเบิร์ตสัน - ฟาบินโญ - ติอาโก้ - เทรนต์
หลัง: โคนาเต้ - ฟาน ไดจ์ค - โกเมซ
ผู้รักษาประตู: อลิสซอน

แน่นอนว่านี่ยังเป็นเพียงแค่แนวคิดโดยอ้างอิงจากทรัพยากรที่มีอยู่ ณ เวลานี้ ซึ่งหากเปิดตลาดซัมเมอร์พวกเขาได้สตาร์ดังเข้าสู่ทีมอย่าง จู้ด เบลลิงแฮม หรือ ยอสโก กวาร์ดิโอล มันจะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นไปอีก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับ คล็อปป์ เองที่จะเป็นคนชี้ทางเลือกเพื่อแก้ปัญหาในทีม นี่เป็นแค่อีกแนวทางหนึ่งจากมุมแฟนบอลที่อยากเห็น ลิเวอร์พูล เล่นระบบหลังสามวิงแบ็คซึ่งมันคงเป็นอะไรที่น่าสนุกและเร้าใจอยู่มิใช่น้อย...