[OPINION] มาร์คัส แรชฟอร์ด ดาวยิงผู้เกิดมาเพื่อเกมใหญ่
โดย ชยพล ธานีวัฒน์
มาร์คัส แรชฟอร์ด ศูนย์หน้าของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นที่จับตามองพวกเขาหลังจากที่ระเบิดแฮททริคใส่ อาร์เบ ไลป์ซิก ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา
หากจำกันได้ก่อนหน้านี้แม็ตช์ที่ออกไปเยือน ปารีส แซงต์-แชร์กแมง “แรชชี” ก็เป็นคนยิงประตูชัยให้ทีมบุกไปเก็บ 3 คะแนนถึงดินแดนแห่งแฟชันมาแล้ว ทำให้เมื่อดูสถิติย้อนหลัง 11 นัดในทุกรายการ กองหน้าทีมชาติอังกฤษยิงให้ต้นสังกัดไปแล้วถึง 8 ประตูด้วยกัน
จากการเปิดตัวในครั้งนั้นนอกจากจะเป็นการแจ้งเกิดในฐานะกองหน้าดาวรุ่งของทีมปีศาจแดงแล้ว ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นดาวยิงที่เกิดมาเพื่อ “เกมใหญ่” อีกด้วย
หากนับเฉพาะการพบกับบรรดา “บิ๊กซิกซ์” พรีเมียร์ลีก เมื่อซีซันก่อน แรชฟอร์ด กลายเป็นกองหน้าที่ยิงประตูได้มากที่สุดจากการลงสนามเพียง 12 นัดโดยทำได้ 9 ประตู ซึ่งแม้ว่าจะมี แดนนี อิงส์ ดาวยิงของ เซาแธมป์ตัน ที่ทำได้เท่ากัน แต่ก็มาจากลงสนามมากกว่าที่ 16 เกม ในขณะที่ ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง สไตรเกอร์ของ อาร์เซนอล ทำได้ 8 ประตูจากการลงสนาม 14 นัด
สำหรับเหยื่อของดาวยิง เร้ดเดวิลส์ เริ่มจาก เชลซี ในเกมนัดเปิดฤดูกาลที่พวกเขาไล่ถล่มไป 4-0 ซึ่ง แรชฟอร์ด ยิงไป 2 ประตูและยิงได้อีก 2 ประตูในการเจอกันใน คาราบาวคัพ เมื่อเดือนตุลาคม 2018 ที่พวกเขาเอาชนะไปได้ 2-1
ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ก็โดนไป 2 เม็ดในเกมที่ ยูไนเต็ด เฉือนชนะไป 2-1 ในเดือนธันวาคม 2018 รายถัดมาคือคู่แข่งร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่ง แรชชี ก็ยิงได้ 2 ลูกทั้งใน พรีเมียร์ลีก และ คาราบาวคัพ รอบรองชนะเลิศ
และสุดท้ายคือคู่รักคู่แค้นอย่าง ลิเวอร์พูล ที่เป็นเหยื่อของดาวยิงวัย 22 ปีไป 1 ประตู ซึ่งทำให้เขากลายเป็นนักเตะของ แมนฯ ยูไนเต็ด เพียงคนเดียวในซีซันนั้นที่สามารถยิงประตูแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้
ส่วนในเวทียุโรปก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน เริ่มที่รายการ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก นอกจาก อาร์เบ ไลป์ซิก ทีเพิ่งโดยฆาตรกรรมไป 3 เม็ดเน้น ๆ ในสกอร์ 5-0 และ เปแอชเช ของ เนย์มาร์ และ คิลิยัน เอ็มบัปเป้ ที่โดนประตูตัดสินชัยในช่วงท้ายเกมไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ทีมดังจากเมืองน้ำหอมก็ยังเคยถูก แรชฟอร์ด จัดการซัดประตูใส่มาแล้วในเกมซุปเปอร์ดรามารอบ 16 ทีมสุดท้ายเลกที่ 2 เมื่อเดือนมีนาคมปี 2019 ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด พลิกเอาชนะได้ถึงฝรั่งเศส 3-1
สำหรับซีซันก่อนหน้านั้นดาวยิงเมืองผู้ดีก็ทำประตูได้ในเกมที่เจอกับ เบนฟิก้า และ ซีเอสเคเอ มอสโก รวมทั้งยังมีส่วนสำคัญในการค้วาแชมป์ ยูโรป้าลีก เมื่อฤดูกาล 2016-2017 ด้วยการยิงประตูในรอบควอเตอร์ไฟนอลที่เจอกับ อันเดอร์เลช และซัดประตู เซลต้า บีโก้ ในรอบเซมิไฟนอลได้อีกด้วย
อย่างที่ทราบกันดีว่าเกมเปิดตัวใน พรีเมียร์ลีก ของเขานั้นก็เริ่มจากการได้รับโอกาสจาก หลุยส์ ฟาน กัล ให้ประเดิมสนามพบกับ เดอะกันเนอร์ส เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2016 ด้วยอายุเพียง 18 ปีและเขาก็ไม่ทำให้ “อาจารย์ปู่” ต้องผิดหวังโดยซัด 2 ประตูกอ่นจะเอาชนะไปอย่างสุดมันด้วยสกอร์ 3-2 ถือเป็นการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวบนเวทีระดับสูงได้สำเร็จ
จากนั้นในเดือนต่อมาเจ้าหนูมาร์คัสยังหาญกล้ายิงประตูชัยใส่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึง เอติฮัด สเตเดี้ยม ในศึกแมนเชสเตอร์ดาร์บี้ที่พวกเขาเฉือนเจ้าบ้านไป 1-0 และยังมีส่วนสำคัญกับการคว้าแชมป์ เอฟเอคัพ ในซีซันนั้นโดยเป็นผู้ทำประตูในเกมที่พลิกกลับมาเอาชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ได้ในรอบควอเตอร์ไฟนอล
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพัฒนาการและเติบโตของนักเตะที่ชื่อ มาร์คัส แรชฟอร์ด และถือเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคือนักเตะที่ถือเป็น “ผู้เชี่ยวชาญในเกมใหญ่” อย่างแท้จริง
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด