เชลซี - แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เส้นทางที่มีตำแหน่งรองแชมป์ พรีเมียร์ลีก เป็นเดิมพัน - OPINION

Chelsea v Manchester United - Premier League
Chelsea v Manchester United - Premier League / Pool/Getty Images
facebooktwitterreddit

ดูเหมือนว่าการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ในปีนี้จะไม่มี “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ให้แฟนบอลได้ลุ้นกันจนหยดสุดท้าย เพราะตอนนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กำลังนำคู่แข่งชนิดที่ยากที่ใครจะหยุดพวกเขาได้

หากไม่มีอะไรผิดพลาดโทรฟีแชมป์จะถูกโยกกลับไปคืนยังถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม หลังจากที่ถูก ลิเวอร์พูล คว้าไปครองเมื่อปีที่แล้ว และจะเป็นการคว้าแชมป์ 3 ครั้งในรอบ 4 ปีของ เป๊ป กลาร์ดิโอลา

เรื่องแชมป์คงไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นซักเท่าไหร่ แต่เรื่องของอันดับรองลงมากลับยังมีอะไรให้เซอร์ไพรส์แฟนบอลได้เสมอ และคาดว่าปีนี้คงจะต้องลุ้นกันจนนัดสุดท้ายอย่างแน่นอน

แม้ว่าสถานภาพของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตอนนี้กำลังรั้งอันดับรองจ่าฝูงอยู่ก็จริง  แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะเล่นแบบสบายใจได้ในเกมที่เหลือ เพราะเมื่อหันไปมองที่ตารางคะแนนแล้วชัยชนะหรือความพ่ายแพ้เพียง 1-2 เกมก็สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ในทันที

FBL-ENG-PR-CRYSTAL PALACE-MAN UTD
FBL-ENG-PR-CRYSTAL PALACE-MAN UTD / ADRIAN DENNIS/Getty Images

ผลเสมอ 3 จาก 4 นัดหลังสุดของ ยูไนเต็ด ก่อนเกม “แมนเชสเตอร์ดาร์บี้” มันกลายเป็นการสร้างแรงกดดันให้กับตัวเองโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพราะทีมที่ตามหลังพวกเขามานั้นกำลังเร่งทำคะแนนเพื่อหวังจะคว้าโควต้า ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก อย่างเอาเป็นเอาตาย

ทำให้ตอนนี้ช่องว่างระหว่างรองจ่าฝูงและทีมอันดับ 4 อย่าง เชลซี จึงถูกลดเหลือเพียง 4 แต้มพร้อมด้วย เลสเตอร์ ซิตี้ ที่จี้ก้น ปีศาจแดง อยู่แค่คะแนนเดียว

ยังไม่นับทีมอย่าง เอฟเวอร์ตัน และ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่ใครจะไปรู้ว่าอยู่ดี ๆ พวกเขาก็มีลุ้นติดท็อปโฟร์เหมือนกันและยังเหลือเกมให้เล่นอีกในมือมากกว่าทีมที่อยู่เหนือพวกเขา 1 นัด ซึ่งถ้าทั้งคู่สามารถเก็บ 3 คะแนนได้ช่องว่างของทีมอันดับ 2-6 จะเหลือเพียงไม่กี่คะแนนทันที

อย่างไรก็ตามสื่อในอังกฤษเชื่อว่าทีมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องกังวลมากที่สุดหาใช่ ท็อฟฟี, ขุนค้อน หรือแม้แต่ เลสเตอร์ ไม่ แต่กลับเป็น เชลซี ภายใต้การนำของ โธมัส ทูเคิล ที่พาทีมฟื้นจากความตายนับตั้งแต่เข้ามารับงานแทน แฟรงคต์ แลมพาร์ด เมื่อไม่กี่เดือนก่อน

Thomas Tuchel, Jurgen Klopp
Liverpool v Chelsea - Premier League / Alex Livesey - Danehouse/Getty Images

เดอะบลูส์ นั้นทำแต้มหล่นหายพร้อมกับฟอร์มการเล่นที่ออกทะเลสุดกู่ในยุคของ “ซุปเปอร์แฟรงค์” แต่หลังจากได้อดีตกุนซือ เปแอชเช เข้ามากุมบังเหียนกลายเป็นว่าพวกเขาไม่แพ้ใครมา 11 เกมโดยชนะไปถึง 8 นัด พาตัวเองขึ้นมาติดอันดับ 4 เป็นที่เรียบร้อย

ความเคี่ยวกรำ ความคงเส้นคงวา และการมีนักเตะให้เลือกใช้จนล้นมือคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ เชลซี กลายเป็นทีมที่พร้อมที่สุดในการแย่งชิงตำแหน่งรองจ่าฝูงกับ แมนฯ ยูไนเต็ด

ยิ่งเมื่อมองจากโปรแกรมการแข่งขันในช่วงโค้งสุดท้าย หากไม่นับเกม “แมนเชสเตอร์ดาร์บี้” เราจะพบว่า ทั้งสองทีมนั้นต้องเจอกับคู่ต่อสู้ในระดับยากและง่ายพอ ๆ กัน

โอเล กุนนาร์ โซลชา เหลือเกมในบ้านถึง 6 นัดซึ่งงานยากกับงานง่ายแบ่งได้ครึ่งต่อครึ่ง ในส่วนที่ยากคือการเจอกับ เวสต์แฮม, ลิเวอร์พูล และ เลสเตอร์ ซิตี้ ส่วนที่ไม่น่าจะพลาดคือการรับมือกับ ไบรท์ตัน, เบิร์นลีย์ และ ฟูแลม

FBL-ENG-PR-CRYSTAL PALACE-MAN UTD
FBL-ENG-PR-CRYSTAL PALACE-MAN UTD / ADRIAN DENNIS/Getty Images

แต่งานโคตรยากของ ยูไนเต็ด มากองกันที่เกมนอกบ้านที่พวกเขาต้องออกไปเยือน สเปอร์ส, ลีดส์, แอสตัน วิลลา และปิดท้ายด้วย วูล์ฟแฮมป์ตัน

ส่วนโปรแกรมของ เชลซี ใน 10 เกมสุดท้าย พวกเขาได้เล่นในบ้าน 5 นัดและเยือน 5 นัดซึ่งดูจากเกมในบ้านแล้วน่าจะง่ายกว่านอกบ้านเยอะการเจอกับ เวสต์บรอมวิช, ไบรท์ตัน, ฟูแลม, อาร์เซนอล และ เลสเตอร์ น่าจะทำให้พวกเขาเก็บได้อย่างน้อย ๆ 11-12 คะแนนจาก 15 แต้มเต็ม

เกมนอกบ้านนั้นก็อยู่ในระดับที่ไม่ยากและไม่ง่ายจนเกินไป เกมที่อาจจะต้องลุ้นน่าจะเป็นการเยือน เวสต์แฮม และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นอกนั้นในการเจอกับ ลีดส์, เวสต์แฮม และ แอสตัน วิลลา คงมีอย่างน้อย 7 คะแนนในมือ

ด้วยฟอร์มของ เชลซี ในเวลานี้ พวกเขามีโอกาสอย่างยิ่งที่จะทำแต้มแซง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และจบด้วยการเป็นรองแชมป์ได้ในบั้นปลาย อย่างไรก็ตาม โอเล กุนนาร์ โซลชา และลูกทีมก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาพร้อมที่จะกลับมาเป็นผู้ท้าชิงในซีซันหน้าเหมือนกัน


สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด