เส้นทางที่ใกล้บรรจบกันของ ลิเวอร์พูล และแชมป์เอฟเอคัพ - OPINION
โดย ชยพล ธานีวัฒน์
การเดินทางในถ้วย เอฟเอคัพ ของ ลิเวอร์พูล ในยุค เยอร์เก้น คล็อปป์ นั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเส้นทางที่ไม่เคยบรรจบกันซักที
เรารู้กันดีว่า หงส์แดง ภายใต้ฝีมือของนายใหญ่ชาวเยอรมันสามารถยกระดับตัวเองขึ้นมาจนกลายเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของยุโรปหรือในโลกปัจจุบันไปแล้ว ด้วยสไตล์การเล่นและความสำเร็จระดับ พรีเมียร์ลีก และโดยเฉาพะอย่างยิ่งใน ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก
หากแต่ไม่ใช่กับฟุตบอลถ้วยที่ศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่ที่สุดในโลกอย่าง เอฟเอคัพ
คล็อปป์ มักโดนค่อนขอดเสมอเมื่อยามที่พาทีมลงเล่นในฟุตบอลถ้วยทั้ง คาราบาวคัพ และ เอฟเอคัพ เพราะการจัดทีมที่ดูเหมือนจะ “ไม่เอา” อยู่หลายหน และชิงตกรอบตั้งแต่เนิ่น ๆ เป็นส่วนใหญ่
หากไล่กันมาตั้งแต่ซีซันที่กุนซือวัย 55 ปีได้คุมทีมลงเล่นในฟุตบอลรายการนี้จนถึงฤดูกาลที่แล้ว ลิเวอร์พูล ไม่เคยผ่านเข้าสู่รอบเซมิไฟนอลได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
สถิติที่ดีที่สุดของพวกเขาคือการผ่านเข้าถึงรอบควอร์เตอร์ไฟนอลได้ 2 ครั้งในซีซัน 2015-2016 และ 2019-2020 นอกนั้นตกรอบสาม (64 ทีมสุดท้าย) ในซีซัน 2018-2019 ตกรอบสี่ (32ทีมสุดท้าย) 2 ครั้งในซีซัน 2017-2018 และ 2020-2021 และตกรอบห้า (16 ทีมสุดท้าย) 1 ครั้งในซีซัน 2016-2017
เหตุผลที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่สามารถไปได้ไกลกว่านั้นเราเข้าใจกันได้ว่าภารกิจหลักในการเข้ามากุมบังเหียน เดอะเร้ดส์ ของนายใหญ่ชาวเยอรมันคือการพาทีมกลับไปเล่นในฟุตบอล ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ให้ได้และพยายามทำอันดับเกาะกลุ่มท็อปโฟร์อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเขาจึงมักใช้นักเตะที่ดีที่สุดในการลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก เป็นส่วนใหญ่
กับฟุตบอลถ้วยอย่าง เอฟเอคัพ จะบอกว่าไม่เน้นก็ไม่ใช่ แต่เพราะสภาพทีมในเวลานั้นไม่ได้มีนักเตะมีฝีเท้าใกล้เคียงกันมากพอให้หมุนเวียนลงเล่นในรายการต่าง ๆ ได้ ดังนั้นผลงานที่ออกมาจึงเป็นอย่างที่เห็น ไม่เหมือนในซีซันนี้
ผิดกับฟากฝั่งของ เชลซี คู่ชิงชนะเลิศ สถิติการลงเล่นในถ้วยใบนี้ของพวกเขาถือว่าเป็นหนึ่งในทีมที่แทบจะจองการลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศเกือบทุกปี ซึ่งถ้านับมาตั้งแต่ซีซัน 2015-2016 จนถึงซีซันก่อน ขุนพล สิงห์บลู เข้าถึงรอบไฟนอลมาแล้ว 4 ครั้ง ถ้ารวมหนนี้ด้วยก็ถือเป็นครั้งที่ 5 และเป็นการเข้าชิง 3 ครั้งติดต่อกันใน 3 ซีซันหลังสุดด้วย
หากแต่สถิติในการเล่นรอบชิงชนะเลิศของพวกเขาในช่วงหลังนั้นดูเหมือนจะเป็นอาถรรพ์พอสมควรเพราะ 4 ครั้งที่เข้าชิงนั้นได้แชมป์แค่ครั้งเดียว แต่ก็มีสถิติที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือทั้ง หงส์แดง และ สิงห์บลู เคยเจอกันในรอบชิงชนะเลิศมาแล้วในซีซัน 2011-2012 ซึ่งตอนนั้นเป็นทีมจากลอนดอนสามารถเอาชนะไปได้ 2-1 และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นสโมสรจากเมอร์ซีย์ไซด์ได้มีโอกาสเดินลงสนามในนัดชิงชนะเลิศถ้วยนี้
สำหรับแชมป์ครั้งสุดท้ายของ ลิเวอร์พูล ต้องย้อนกลับไปเมื่อซีซัน 2005-2006 ที่มี สตีเวน เจอร์ราร์ด เป็นกัปตันทีม โดยพวกเขาสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ด้วยการตามตีเสมอ 3-3 ในนาทีสุดท้ายก่อนจะเอาชนะด้วยการชนะดวลจุดโทษไป ซึ่งนับนิ้วแล้วก็ห่างหายมาถึง 16 ปีเต็ม
นี่จึงเป็นแม็ตช์สำคัญที่ใครหลายคนรอคอย สัมผัสได้จากบทสัมภาษณ์ของ อลิสซอน เบ็คเกอร์
“นี่คือเกม เอฟเอคัพ นิดชิงชนะเลิศครั้งแรกของผมกับ ลิเวอร์พูล ทีมชุดนี้ยังไม่เคยได้แชมป์รายการนี้เลย นี่คือแชมป์ที่เราตั้งเป้าหมายเอาไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นฤดูกาล และตอนนี้เรามาถึงรอบชิงชนะเลิศแล้ว เรามีโอกาสที่จะคว้ามันได้ เราจะทุ่มเทเต็ม 100% เพื่อให้ได้ถ้วยใบนี้มาครอง”
ในขณะที่ คล็อปป์ เองก็มีประสบการณ์ที่สนาม เวมบลีย์ ไม่ค่อยดีนักในช่วงแรกโดยเคยพา ลิเวอร์พูล แพ้ แมนฯ ซิตี้ ในฟุตบอล ลีกคัพ เมื่อปี 2016 และถ้าย้อนไปก่อนหน้านั้นตอนคุมทีม ดอร์ทมุนด์ ก็แพ้ต่อ บาเยิร์น มิวนิค ในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อปี 2013 ก่อนที่จะมาเริ่มดูดีขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอล คาราบาวคัพ ที่เอาชนะการดวลจุดโทษต่อ เชลซี ไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และการผ่าน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในรอบรองชนะเลิศเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ดังนั้นนี่จึงอาจเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะทำให้เส้นทางของ ลิเวอร์พูล และถ้วย เอฟเอคัพ กลับมาเจอกันอีกครั้ง
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด