อังกฤษ จะสามารถต่อยอดความสำเร็จจากแชมป์ ยูโร ยู-21 ของชุดเล็กไปสู่ชุดใหญ่ ตรงไหนอย่างไรได้บ้าง? - OPINION

ด้วยการฟาดแชมป์ทวีปเป็นผลสำเร็จ หนแรกในรอบ 39 ปี ก็แน่นอนว่า ความสำเร็จใหญ่ครั้งนี้ของทีมชุดเล็ก อังกฤษ จะสามารถส่งต่อ "แง่งาม" ไปถึงชุดใหญ่ของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ได้โดยตรง

อย่างน้อยๆ ที่พอมองเห็นตอนนี้ก็มีอยู่สี่ซ้าห้าประเด็น เช่น...

แทร็ฟฟอร์ด มาแน่

อาจยังไม่ถึงเวลาต้องปรับเปลี่ยนเร็วๆ นี้ เมื่อ จอร์แดน พิคฟอร์ด มือหนึ่งจาก เอฟเวอร์ตัน (ตกลงไม่ย้าย?) เพิ่ง 29 ยังยืนระยะได้อีกพักใหญ่ มือรองลงมาอย่าง อารอน แรมส์เดล ยังแค่ 25 หรือ ดีน เฮนเดอร์สัน ก็ 26 เท่านั้น

แต่ในระยะยาว ชื่อของ "เจมส์ แทร็ฟฟอร์ด" จะถูกพิจารณาอย่างแน่นอน

เพราะแม้อาจไม่ค่อยคุ้นชื่อกันมาก่อน แต่จอมหนึบเจ้าของส่วนสูงน้องๆ เปรต 197 ซ.ม. แจ้งเกิดได้อย่างตูมตามโครมครามสุดๆ ไปเลยใน ยูโร ยู-21 งวดนี้

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รับช่วงดูแล แทร็ฟฟอร์ด จากทางอะคาเดมี่ของ คาร์ไลส์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2015 ตั้งแต่ตอนที่นักเตะอายุแค่ 12 ครั้นเมื่อเริ่มเติบโตเข้าที่เข้าทาง ก็ถูกส่งออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในฐานะตัวยืม

• ครึ่งซีซั่นแรก 2021/22 แอคคริงตัน สแตนลี่ย์ (ลีกวัน) ลงเล่น 11 นัด
  
  ครึ่งซีซั่นหลัง 2021/22 โบลตัน วันเดอเรอร์ส (ลีกวัน) ลงเล่น 22 นัด
  
  2022/23 โบลตัน วันเดอเรอร์ส (ลีกวัน) ลงเล่น 52 นัด
  

ชัดเจนว่า แทร็ฟฟอร์ด สอบผ่านฉลุยกับ โบลตัน จนถูกรั้งตัวเอาไว้ในสัญญายืมฉบับที่ 2 ตลอดซีซั่นที่ผ่านมา โดยเฉพาะว่าก็กลายเป็นมือหนึ่งลงเล่นให้ เดอะ ทร็อตเตอร์ส แบบถึงไหนถึงกัน...ในวัยเพียง 20 เท่านั้นเอง

และแม้การเล่นใน ลีกวัน จะทำให้เขาอยู่ห่างจากการจับตามอง แต่ ลี คาร์สลี่ย์ ก็ยังสายตากว้างไกลพอที่จะมอบตำแหน่งมือ 1 สิงโตน้อย ให้กับแทร็ฟฟอร์ด รับไปฉายแสงแจ้งเกิด ในยูโรรุ่นเล็กที่ โรมาเนีย/จอร์เจีย

ในหน้าประวัติศาสตร์ ยูโร ยู-21 ไม่เคยมีมาก่อนที่นายประตูคนไหนจะทำคลีนชีตตั้งแต่เกมแรกยันถึงนัดชิงชนะเลิศ แต่ แทร็ฟฟอร์ด ทำได้ และทำได้อย่าง "มีสไตล์" ด้วย กับการเสียจุดโทษในเฮือกสุดท้าย 90+8 ที่หากว่าเสียประตูแล้ว เกมจะจบที่ผลเสมอทันที ต้องต่อเวลาหรือดวลจุดโทษตัดสิน

แต่ แทร็ฟฟอร์ด นิ่งและเจ๋งพอที่จะพุ่งไปดักทางลูกยิงของ อเบล รุยซ์ กัปตันกระทิงน้อย เอาไว้ได้แบบเต็มใบ นำพาชัยชนะมามอบให้คนทั้งชาติ

ซีซั่นหน้า เรายังอาจได้เห็นฝีไม้ลายมือของประตูดาวรุ่งวัย 20 แบบเต็มตา เมื่อว่ากันว่า เบิร์นลี่ย์ บรรลุข้อตกลง 15+4 ล้านปอนด์ เรียบร้อย เหลือรอให้นักเตะเสร็จภารกิจจากทีมชาติ แล้วเข้าเซ็นสัญญาเปิดตัว (โดยที่ แมนฯ ซิตี้ ใส่ออปชั่นซื้อกลับเอาไว้ด้วย)

และหากเส้นทางกับ เบิร์นลี่ย์ เป็นไปด้วยดี ก็มีโอกาสที่จะได้เห็น แทร็ฟฟอร์ด ในเครื่องแบบ "สิงโตคำราม" ของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ในอีกไม่ช้าไม่นาน

คู่ CB โคลวิลล์ / ฮาร์วู้ด-เบลลิส ควรได้โอกาส

เพราะในหน้าประวัติศาสตร์ ยูโร ยู-21 ไม่เคยมีมาก่อนที่นายประตูคนไหนจะทำคลีนชีตได้ตั้งแต่เกมแรกยันถึงนัดชิงชนะเลิศ ซึ่งนอกจากเป็นเครดิตของ เจมส์ แทร็ฟฟอร์ด โดยตรงแล้ว เสียงปรบมือกับยังต้องเป็นของคู่เซนเตอร์แบ็กอย่าง ลีวาย โคลวิลล์ และกัปตันทีม เทย์เลอร์ ฮาร์วู้ด-เบลลิส เช่นกัน

ในราย โคลวิลล์ เป็นที่จับตามองกันอยู่แล้วว่าจะมีอนาคตสดใส และวันหนึ่งจะได้เล่นในทีมชุดใหญ่อย่างแน่นอน (ยังถูก เซาธ์เกต เรียกไปร่วมซ้อมกับรุ่นพี่มาแล้ว เมื่อกลางเดือนก่อน)

ด้านผู้สื่อข่าวคนดัง ฟาบริซิโอ โรมาโน่ ยังเผยว่า เซนเตอร์แบ็กวัย 20 จะอยู่ในแผนการทำทีมของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ สำหรับ เชลซี 2023/24 ด้วย ทำให้จะไม่รับพิจารณาข้อเสนอจากทีมใดทั้งสิ้นในซัมเมอร์นี้ (ท่ามกลางข่าว ลิเวอร์พูล ต้องการตัว) ภายหลังส่งยืมไปเล่นกับ ไบรท์ตัน มาแล้วตลอดซีซั่นก่อน และได้เล่น 22 นัด

การเติบโตของ โคลวิลล์ ทำให้อดไม่ได้ที่หลายฝ่ายจะหยิบยกไปเทียบกับ จอห์น เทอร์รี่ ตำนานกัปตันทีมสิงห์น้ำเงิน ที่โตจากอะคาเดมี่ เชลซี เช่นเดียวกัน และขึ้นเล่นทีมชุดใหญ่เต็มตัวตอนอายุ 19

หากไม่ดีแตก หยุดพัฒนาตัวหรือเจ็บหนักไปเสียก่อน ไม่ต้องสงสัยว่า โคลวิลล์ จะกลายเป็นอนาคตของทั้ง เชลซี และทีมชาติอังกฤษ ชุดใหญ่

เช่นเดียวกัน คู่ขาอย่าง เทย์เลอร์ ฮาร์วู้ด-เบลลิส ก็ถูกคาดหมายว่า อนาคตสดใสเปล่งปลั่งกำลังรอเขาอยู่ ทั้งในสโมสรและทีมชาติ

เป็นอีกคนที่โตจากอะคาเดมี่ แมนฯ ซิตี้ และในตอนนี้ที่อายุแค่ 21 กลับมีประสบการณ์สูงใช่ย่อยเลยกับการถูกส่งออกยืมทั้งในและนอกประเทศ -- 2021 แบล็คเบิร์น, 2021-22 อันเดอร์เลชท์, 2022 สโต๊ค ซิตี้ และ 2022-23 เบิร์นลี่ย์

ฮาร์วู้ด-เบลลิส ยังเคยได้เล่นให้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไปแล้ว 8 นัด ในช่วงปี 2019-2020 และหลังจาก เป๊ป "ใช้เงินแก้ปัญหา" กับตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กตลอดมา ก็อาจหยุดได้เสียทีกับการก้าวขึ้นมาของ ฮาร์วู้ด-เบลลิส

และถ้าสอบผ่านในทีมของ เป๊ป ได้แล้ว ก็เท่ากับว่าเขาจะมีคุณสมบัติดีพอเล่นให้ทุกทีมชาติในโลก อย่าว่าแต่ อังกฤษ เลย

กอร์ดอน, โจนส์, พาล์มเมอร์, เอลเลียตต์ ก็ด้วย

นอกจากแนวรับที่ดีเด่นเป็นพิเศษ ช่วยให้ไม่เสียความบริสุทธิ์ตลอดรายการแล้ว แชมป์ทวีปที่ อังกฤษ ได้มา ก็เพราะมีตำแหน่งอื่นๆ ที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน

อาจเป็นเรื่องจริงที่เกมรุกไม่ได้ร้อนแรงทะลักทะลวงมากนัก แต่ อังกฤษ ก็มีสกอร์ในทุกนัดที่ลงสนาม และบรรดาตัวเลือกข้างหน้าของสิงโตน้อย ก็ล้วนแต่ผลิตสกอร์ได้คนละเม็ดสองเม็ด ยกเว้นแค่ โนนี่ มาดูเอเก้ คนเดียว

ยิ่งกับราย แอนโธนี่ กอร์ดอน (นิวคาสเซิ่ล, ย้ายจาก เอฟเวอร์ตัน ตอนตลาดหน้าหนาว) ซึ่งถูกขยับจากการเป็นปีกธรรมชาติ ไปยืนเป็นหน้าคู่ในระบบ 4-4-2 ตลอดรายการนี้ ยังเข้าตาถึงขึ้นได้รับเลือกจาก ยูฟ่า ให้เป็นเจ้าของรางวัล นักเตะยอดเยี่ยมประจำรายการ ทีเดียวเชียว "เขาเล่นด้วยฟอร์มระดับสูงในตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ ยิง 2 ประตูและทำ 1 แอสซิสต์" ตามรอยบรรดาตำนานอย่าง อันเดรีย ปีร์โล่ (2000), อัลแบร์โต้ จิลาร์ดิโน่ (2004), คลาส-ยาน ฮุนเตลาร์ (2006) หรือ ฆวน มาต้า (2011) ที่เคยฟาดรางวัลนี้มาแล้ว

แม้อาจไม่ถึงกับจะยกเซ็ตขึ้นไปเล่นชุดใหญ่โดยพร้อมเพรียงกัน แต่ เซาธ์เกต (หรือใครก็ตามในอนาคต) จะสามารถเปิดทางให้ทั้ง กอร์ดอน ไปจนถึง เคอร์ติส โจนส์, โคล พาล์มเมอร์, ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์, เจค็อบ แรมซี่ย์, เอมิล สมิธ โรว์, โอลิเวอร์ สคิปป์ หรือใครอื่นอีกนอกเหนือที่กล่าวมาจากนี้ ขึ้นไปสอดแทรกทัพสิงโตได้แน่ เมื่อทุกชื่อต่างก็ยังเด็ก ยังแค่ 20-21-22 เท่านั้น

เพราะเห็นเด็กๆ ขนาดนี้ ก็มีดีกรี "แชมป์ทวีป" ติดตัวแล้ว และกำลังเสริมสร้างแคลเซียมกระดูกด้วยการเล่นเกม พรีเมียร์ลีก อยู่ในแทบทุกสัปดาห์กับต้นสังกัดของแต่ละคน

ลี คาร์สลี่ย์ จัดว่าน่าสน

สำคัญไม่แพ้ขุมกำลัง คือเรื่องของคนเป็นกุนซือ ที่แม้ตอนนี้ เอฟเอ จะยังคงให้ความไว้วางใจในตัว เซาธ์เกต ให้ได้ทำงานต่อไปจนถึง ยูโร 2024 เป็นอย่างน้อย แต่ก็มีแฟนอีกจำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่ "ไม่เชื่อมือ" อดีตนายใหญ่ มิดเดิ้ลสโบรช์ และมองว่า อังกฤษ ตราบใดยังอยู่ในมือ เซาธ์เกต ก็ไม่มีทางได้แชมป์เป็นชิ้นเป็นอันรายการใดทั้งสิ้น

ในแง่นี้ อาจเป็นการสบประมาทโค้ชวัย 52 เกินไปหน่อย เพียงแต่ เซาธ์เกต ก็ไม่อาจหลีกหนีความเป็นจริงไปได้เหมือนกันว่า การเข้ารอบลึกๆ หรือแม้จะถึงชิงแต่แพ้ ก็ยังเท่ากับการ "ไม่ได้แชมป์" อยู่ดี

• ฟุตบอลโลก 2018 - อันดับ 4
  
  ยูโร 2020 - รองแชมป์
  
  ฟุตบอลโลก 2022 - รอบ 8 ทีม
  

ด้วยสัญญาถึงจบยูโรที่เยอรมนี ความเปลี่ยนแปลงที่ใกล้ที่สุดที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ ก็คือช่วงกลางปีหน้า

และหาก เอฟเอ จะปรายตามองมายัง ลี คาร์สลี่ย์ สักหน่อย ก็คงเป็นทางออกที่ไม่เลวเลย

เป็นเรื่องจริงที่ อดีตมิดฟิลด์หัวเหม่งแห่ง เอฟเวอร์ตัน (2002-2008) ผู้ซึ่งเกิดที่อังกฤษแต่เล่นให้ทีมชาติไอร์แลนด์ (40 นัด) เพิ่งเริ่มงานคุม อังกฤษ ยู-21 ได้แค่ 2 ปีเท่านั้น แต่แค่ 2 ปีก็มีแชมป์ยูโรที่ห่างเหินมา 39 ปีเป็นรางวัลตอบแทนความไว้วางใจ

และอันที่จริง โค้ชวัย 49 ก็ผ่านประสบการณ์งานโค้ชมาเยอะไม่ใช่เล่น

• 2012 โคเวนทรี ซิตี้ (รักษาการ)
  
  2013 โคเวนทรี ซิตี้ (รักษาการ)
  
  2014-2015 เยาวชน เบรนท์ฟอร์ด
  
  2015 เบรนท์ฟอร์ด
  
  2016-2017 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยู-18
  
  2017 เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ยู-23
  
  2017 เบอร์มิงแฮม ซิตี้ (รักษาการ)
  
  2020-2021 อังกฤษ ยู-20
  
  2021-ปัจจุบัน อังกฤษ ยู-21
  

แน่อยู่แล้วว่าชื่อชั้นอาจเป็นรองโค้ชระดับท็อปหลายราย แต่ถ้า เอฟเอ ต้องการรักษาธรรมเนียมการใช้กุนซือคนในชาวเมืองผู้ดีอยู่ต่อไป คาร์สลี่ย์ ก็ต้องเป็นหนึ่งในชื่อที่คู่ควรพิจารณา

แชมป์ของชุดเล็ก =/= แชมป์ของชุดใหญ่

สำคัญเหนืออื่นใด คือคำถามว่า เมื่อชุดเล็กงาบแชมป์เมเจอร์ได้แล้ว ชุดใหญ่เมื่อไหร่จะถึงเวลาตักตวงความสำเร็จ

แต่เอาเข้าจริง ก็อาจเป็นคนละเรื่อง--เดียวกัน

เพราะอย่างที่ว่า ในระยะอันสั้นนี้ แกเร็ธ เซาธ์เกต คงไม่ถึงกับเรียกแข้งสิงโตน้อยขึ้นไปติดชุดใหญ่แบบยกขบวน ถ้าจะมีแทรกๆ ขึ้นไปบ้างก็คงสักสี่ซ้าห้าคน และไม่ว่าใครก็ตามที่ได้โอกาส ก็อาจยังฝากความหวังไม่ได้เต็มที่สำหรับ ยูโร 2024

ยูโร 2024 : อังกฤษ ลงชื่อจองที่รอบสุดท้ายไว้แล้วอย่างไม่เป็นทางการ หลังชนะ 4 เกมรวดในรอบคัดเลือก

ด้วยการชนะมา 4 เกม ทำให้คิวคัดเลือกที่เหลืออยู่อีก 4 นัดแทบจะไม่ซีเรียสแล้ว และบททดสอบที่แท้จริงของ อังกฤษ จะเป็นในรอบสุดท้ายที่เยอรมนีเพียงเท่านั้น และดูวี่แวว เซาธ์เกต ก็คงไม่ผ่าตัดทีมอะไรมากมายจากชุดเดิมๆ ที่ใช้อยู่ตอนนี้ (เคน, ซาก้า, กรีลิช, ไรซ์, เทรนท์ ฯลฯ)

เท่ากับ ยูโร 2024 ก็อาจจะยังไม่ใช่จุดที่ อังกฤษ จะสามารถต่อยอดการเป็นแชมป์จาก ยูโร 2023 (ของชุดยู-21) ได้มากนัก

บางที ก็อาจต้องรอให้ เซาธ์เกต ลงจากตำแหน่งไปก่อน และเมื่อถึง ฟุตบอลโลก หนหน้าในปี 2026 (สหรัฐอเมริกา-แคนาดา-เม็กซิโก) บรรดาแข้งสิงโตน้อยชุดนี้ ก็น่าจะถึงเวลาเบ่งบานในวัย 23-24-25 และก้าวขึ้นไปมีที่ยืนในทีมชุดใหญ่ได้หลายคน

ยิ่งถ้ามี ลี คาร์สลี่ย์ เป็นคนสั่งการแล้วด้วยล่ะก็...

แม้ตอนนี้อาจจะยังเป็นแค่ภาพฝันเฟ้อฟุ้ง แต่ก็ใช่ว่า อะไรที่ฝันไว้ จะเป็นความจริงไปเสียไม่ได้เลย