สัญญาณดี ๆ จากชัยชนะ 6 เกมรวดของ ลิเวอร์พูล - OPINION
โดย ชยพล ธานีวัฒน์
ชัยชนะในเกม พรีเมียร์ลีก เหนือ เบรนท์ฟอร์ด 1-0 ที่ แอนฟิลด์ เมื่อคืนนี้แม้จะไม่ใช่เกมที่ ลิเวอร์พูล เล่นได้ดีที่สุดแต่ก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่พวกเขาสามารถเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการได้ แถมยังไม่เสียประตูเป็นนัดที่ 2 ติดต่อกันได้อีกด้วย
นอกจากนั้นยังเป็นชัยชนะนัดที่ 6 ติดต่อกันที่ลูกทีม เยอร์เก้น คล็อปป์ ทำได้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้ที่สามารถเอาชนะคู่แข่งได้เกิน 4 นัดติดต่อกัน ส่งผลให้พวกเขากลับไปมีลุ้นนิด ๆ ในการทำอันดับท็อปโฟร์ในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล
อย่างไรก็ตามเรื่องของสถานการณ์ในการลุ้นกลับไปเล่น ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้าดูเหมือนว่าจะไม่ได้อยู่ในมือของ ลิเวอร์พูล 100% เพราะแม้ว่าพวกเขาจะเอาชนะได้ใน 3 เกมที่เหลือ แต่ก็ต้องลุ้นผลการแข่งขันของคู่แข่งอย่าง นิวคาสเซิล, แมนเชสตอร์ ยูไนเต็ด รวมทั้ง ไบรท์ตัน ให้พลาดทำแต้มหลุดบ้าง ซึ่งบอกตามตรงว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเป็นไปได้ยาก
แต่สิ่งหนึ่งที่สาวกหงส์แดงน่าจะสบายใจได้นั่นก็คือ ฟอร์มการเล่นที่กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งเมื่อเทียบกับช่วงต้นฤดูกาลที่ผ่านมา
ชัยชนะ 6 เกมหลังสุดไม่ใช่แค่เรื่องของ 18 คะแนนเต็ม แต่มันยังแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการหลาย ๆ ด้านหลังจากที่ต้องล้มลุกคลุกคลานกันมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบการเล่นที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด การเปลี่ยนตำแหน่งของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ การจัดรูปแบบแนวรุก และฟอร์มที่แข็งแกร่งของแดนกลาง
และเมื่อไล่กันไปตั้งแต่แนวรับ หลังจากที่เสมอกับ เชลซี เมื่อวันที่ 5 เมษายนด้วยสกอร์ 0-0 ลิเวอร์พูล ก็เสียประตู 5 นัดติดต่อกันก่อนจะมาเก็บคลีนชีตได้ในเกมที่เฉือน ฟูแล่ม 1-0 เมื่อช่วงกลางสัปดาห์และในนัดล่าสุดที่ชนะเบรนท์ฟอร์ดเมื่อคืนนี้
ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาแผงแบ็คโฟร์ของหงส์แดงถูกยกให้เป็นหนึ่งในแนวรับที่แข็งแกร่งที่สุดในยุโรป แต่ในฤดูกาลนี้พวกเขากลับแสดงความผิดพลาดออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ แม้กระทั่ง 6 เกมหลังสุดก็ยังเสียประตูถึง 4 นัด โดยเฉพาะในเกมที่เอาชนะ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ได้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วซึ่งพวกเขาเสีย 3 ประตูรวดหลังจากที่ขึ้นนำ 3-0 ซึ่งมันไม่น่าจะเกิดขึ้นกับทีมระดับนี้
บทเรียนตรงนั้นจึงทำให้เกมที่เจอกับ ฟูแลม พวกเขากลับมามีสมาธิช่วยกันเล่นเกมรับและแพ็คเกมให้แน่นยิ่งขึ้นพร้อมทั้งใช้การเพรสซิ่งเพื่อทำลายเกมรุกคู่ต่อสู้ แม้อาจจะมีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้างแต่ก็สามารถบรรลุเป้าหมายด้วยการไม่เสียประตูได้
เช่นเดียวกับในเกมล่าสุดหลังจากขึ้นนำในนาทีที่ 13 ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ เน้นเดินเกมด้วยความแน่นอน แม้จะถูกเพรสซิ่งอย่างหนักจากนักเตะของ เบรนท์ฟอร์ด แต่ก็สามารถเอาตัวรอดได้และไม่แสดงความผิดพลาดให้เห็นเหมือนในเกมกับ สเปอร์ส
ในขณะที่แดนกลาง ฟาบินโญ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กลับคืนสู่ฟอร์มที่ควรจะเป็นด้วยสภาพร่างกายที่กลับมาฟิตอีกครั้งหนึ่ง และด้วยระบบ 3-4-3 ทำให้ทั้งคู่สามารถใช้ศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้แนวรับกลับมาแข็งแกร่งและสนับสนุนแนวรุกให้มีความอันตรายมากยิ่งขึ้นด้วย
การใช้ เทรนท์ อาร์โนลด์ เป็น Inverted Fullback ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดที่สุด เพราะนับตั้งแต่เกมที่เสมอกับ อาร์เซนอล เป็นต้นมา ลิเวอร์พูล สามารถครองบอลได้เหนือกว่าคู่ต่อสู้และเกมรุกของพวกเขาก็มีความอันตรายสามารถทำประตูได้ทุกเมื่อ ในขณะที่ เทรนท์ กลายเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนแดนกลาง
สำหรับแนวรุกนั้นอาจจะบอกได้ว่าเป็นตำแหน่งที่แทบไม่มีปัญหาเลยหลังจากที่ตัวผู้เล่นกลับมาแทบจะครบทุกคน คล็อปป์ สามารถพลิกแพลงและเปลี่ยนแปลงรูปแบบในเกมรุกได้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้คู่แข่งต้องปรับกลยุทธ์ในการเล่นไปด้วย
สังเกตได้ว่าช่วงหลัง โม ซาลาห์ เริ่มได้บอลจากริมเส้นมากขึ้นและสามารถสร้างความอันตรายฝั่งขวาได้อยู่บ่อยครั้ง ผิดกับก่อนหน้านี้ที่คู่แข่งมักส่งตัวประกบมาไล่บี้แทบทั้งเกมต์ นั่นเป็นเพราะการดันขึ้นสูงของ เฮนโด้ รวมทั้งการหุบเข้าไปเล่นตรงกลางของ เทรนท์ ทำให้มีทางเลือกในการเล่นเกมรุกมากตามไปด้วย
ต้องบอกว่าในเวลานี้ทุกตำแหน่งของ ลิเวอร์พูล กำลังลงตัวภายใต้ระบบการเล่นที่ทำให้พวกเขากลับมาโชว์ฟอร์มได้ดี
นับจากนี้คงเหลือแต่ต้องรอดูว่าการเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์จะมีทิศทางเป็นอย่างไร แต่เชื่อได้ว่าผู้เล่นใหม่ที่เข้ามาจะทำให้ทีมของ คล็อปป์ แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีข่าวว่านายใหญ่ชาวเยอรมันต้องการให้การเสริมทัพเรียบร้อยก่อนถึงเดือนกรกฎาคมซึ่งเป็นช่วงพรี-ซีซัน ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาของการเตรียมทีม ซักซ้อมทำความเข้าใจกับแทคติกใหม่ ๆ ที่จะใช้ในฤดูกาลหน้า รวมทั้งการให้นักเตะใหม่ได้มีเวลาปรับตัวมากยิ่งขึ้น
และถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ เมื่อฤดูกาลใหม่เริ่มต้น ลิเวอร์พูล ก็จะกลับมาเป็นทีมที่แข็งแกร่งและลุ้นแชมป์ได้อีกครั้ง