[OPINION] แกเร็ธ เบล : เดิมพันและความเสี่ยงของ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์
โดย ชยพล ธานีวัฒน์
การย้ายกลับมายัง’บ้านเก่า’ อย่าง ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ของ แกเร็ธ เบล ในศึก พรีเมียร์ลีก นับเป็นข่าวใหญ่ในหน้าสื่อเมืองผู้ดี และสร้างความตื่นเต้นให้กับบรรดาแฟน ๆ คลับไก่ทุกคนที่กำลังจะได้เห็นอดีตฮีโร่ของพวกเขากลับบ้านอีกครั้ง
ตอนที่ดาวเตะวัย 31 ปีย้ายไปยัง เรอัล มาดริด ถือเป็นการย้ายทีมที่แพงที่สุดในโลก ณ ขณะนั้น ด้วยสนนราคา 86 ล้านปอนด์ทำลายสถิติของ คริสเตียโน โรนัลโด้ ลงได้พร้อมกับการสร้างตำนานสามประสาน BBC อันลือลั่นสะท้านยุโรป
อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าสู่ยุคของ ซีเนดีน ซีดาน เบล กลับกลายเป็นเพียงตัวเลือกท้าย ๆ ในแดนหน้า จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่การอยู่กับกุนซือชาวฝรั่งเศสทั้ง 2 ช่วงเวลานั้นคือฝันร้ายของสตาร์ทีมชาติเวลส์ก็ว่าได้
ดังนั้นเมื่อเกิดโครงการ ‘เบล กลับบ้าน’ ขึ้นก็เหมือนการเริ่มชีวิตใหม่และน่าจะส่งผลดีกับทุก ๆ ฝ่าย ทั้งผู้ซื้อ ผู้ปล่อยเช่า และตัวนักเตะเอง
แต่นั่นคือฉากหน้าที่เราได้เห็น เพราะเมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียดจะพบว่า การที่ สเปอร์ส ได้ต้อนรับฮีโร่ของพวกเขามันอาจไม่ได้สวยงามดั่งวิ่งในท้องทุ่งลาเวนเดอร์อย่างที่คิด
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
แม้ว่าข้อตกลงระหว่าง ไก่เดือยทอง และ เรอัล มาดริด จะคุยกันไว้ว่าทั้งสองทีมจะช่วยกันแชร์ค่าเหนื่อยของ แกเร็ธ เบล คนละครึ่งจาก 600,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์แบ่งเป็นสโมสรละ 300,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งมากกว่าที่ซุปเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งของทีมอย่าง แฮร์รี เคน หรือดาวยิงอย่าง ซน เฮือง-มิน รวมทั้ง อูโก้ โยริส กัปตันทีมได้รับเสียอีก
แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้การันตีว่าเขาจะยังคงเต็มไปด้วยศักยภาพในการถล่มประตูและมีความเร็วดุจดั่งปีศาจเหมือนเดิมในตอนที่อายุเข้าวัยเลขสาม ซึ่งนั่นคือการพูดถึงเมื่อตอนที่เจ้าตัวฟิตเต็มร้อย ยังไม่นับเรื่องของประวัติอาการบาดเจ็บที่ยาวเป็นหางว่าวพ่วงท้ายมาอีก
ยิ่งเมื่อย้อนกลับไปดูผลงานเมื่อซีซันที่แล้วยิ่งทำให้น่าสงสัยว่า เบล จะยังเป็นคนเดิมหรือใกล้เคียงกับที่เคยเป็นเมื่อ 7 ปีก่อนหรือไม่ เพราะเขาทำได้เพียง 2 ประตูกับ 2 แอสซิสต์จากการออกสตาร์ทเป็นตัวจริงให้กับ ราชันชุดขาว ใน ลาลีก้า เพียง 12 เกมเมื่อฤดูกาลที่แล้วเท่านั้น
หากคิดว่าเป็นเพราะเจ้าตัวไม่ได้รับโอกาสในการลงสนามมากเท่าไหร่ งั้นลองย้อนกลับไป 4 ปีหลังสุดนับตั้งแต่ปี 2016 ภายใต้การคุมทีมของ ซีเนดีน ซีดาน ฆูเลน โลเปเตกี ซานติอาโก้ โซลารี ก่อนจะย้อนกลับมาที่ ซีดาน อีกรอบ นับเฉพาะใน ลาลีก้า มีเพียงซีซันเดียวคือ 2017-2018 ที่ยิงประตูได้ถึง 2 หลักนั่นคือ 16 ลูก ซึ่งเป็นซีซันสุดท้ายที่เจ้าตัวได้เล่นกับ คริสเตียโน โรนัลโด้ ส่วนที่เหลือในปี 2016-2017 2018-2019 และ 2019-2020 เบล ทำได้เพียง 7 8 และ 2 ประตูตามลำดับเท่านั้น
ตัวเลขการยิงประตูว่าแย่แล้ว ตัวเลขในการทำแอสซิสต์ยิ่งอาจทำให้แฟนบอลต้องกุมขมับ เพราะในช่วง 4 ปีหลังสุดเฉพาะในลีก ดาวเตะมังกรแดงทำได้เฉลี่ยปีละ 2 ครั้งนิด ๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ตามหลายคนอาจมองในแง่ดีว่าการที่ เบล ได้กลับมาเล่นให้ สเปอร์ส ครั้งนี้อาจเป็นการปลุกวิญญาณยอดดาวยิงขึ้นมาอีกครั้งก็ได้ แต่ลืมไปหรือเปล่าว่าเจ้าตัวก็อายุ 31 ปีแล้วและไม่ค่อยได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอเท่าใดนักในช่วงหลัง
แม้ว่าเขาอาจจะยังโดดเด่นในการเล่นให้ทีมชาติเวลส์ แต่เมื่อมองดูนักเตะข้าง ๆ กายแล้วก็พอจะเข้าใจได้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่กับระดับสโมสรถือได้ว่าเจ้าตัวยืนอยู่บนจุดที่ห่างจากคำว่า ‘สุดยอด’ มานานแล้ว
อีกเรื่องหนึ่งที่อดคิดไม่ได้ว่าอาจจะทำให้ โชเซ มูรินโญ ปวดเศียรเวียนเกล้าก็คือ การจัดทัพในเกมรุก
ซน เฮือง-มิน เพิ่งจะประสานงานกับ แฮร์รี เคน ช่วยกันไล่ถล่ม เซาแธมป์ตัน ไปอย่างสนุกเท้าด้วยสกอร์ 5-2 ซึ่งเป็นเครื่องการันตีได้ว่า ‘เฮียมู’ จะยืนพื้นในแดนหน้าด้วย 2 ดาวเตะนี้อย่างแน่นอน ส่วนอีกหนึ่งตำแหน่งนั้นก็คงเดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเป็นของ แกเร็ธ เบล อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เมื่อกลับไปมองที่ม้านั่งสำรอง นักเตะอย่าง ลูคัส มูรา สตีเวน เบิร์กไวจ์น รวมทั้ง เดเล อัลลี ก็ไม่ใช่ผู้เล่นไร้ระดับแต่อย่างใด มันจะเสี่ยงเกินไปหรือไม่หากส่งสตาร์วัย 31 ปีที่ไม่ค่อยได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอแถมยังมีปัญหาเรื่องความฟิตเป็นตัวจริงในลีกที่เล่นกันแบบเตะลืมตายเช่นนี้
จริงอยู่ที่เกรดและชื่อชั้นของ เบล อาจจะเหนือกว่า 3 คนที่เอ่ยมา แต่เมื่อคิดถึงการส่งนักเตะที่กำลังอยู่ในช่วงขาลงเป็นตัวจริงกับบรรดาคนหนุ่มที่กำลังคึกคักและสุกงอม แบบไหนน่าลุ้นกว่ากัน?
มูรา อัลลี เบิร์กไวจ์น ยังมีที่ว่างที่สามารถพัฒนาฝีเท้าได้อีกมาก แม้ในรายของตัวรุกทีมชาติอังกฤษจะอยู่ในช่วงฟอร์มตกจนมีข่าวเตรียมโดนปล่อยตัว แต่หากให้เวลาซักนิดเราก็อาจจะได้เห็นฟอร์มเก่า ๆ กลับมาอีกครั้งในวัยเพียง 25 ปีเท่านั้น
ส่วนปีกชาวดัตช์คือนักเตะแห่งอนาคตที่ต้องการการลงสนามอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับฝีเท้าและทำความเข้าใจกับเกม ดังนั้นการนำเอา เบล เข้ามาจะถือเป็นการตัดอนาคตของนักเตะรายนี้หรือไม่
เมื่อนำเหตุผลต่าง ๆ ที่ว่ามาข่้างต้นมาคิดรวมกับค่าเหนื่อยระดับ 14 ล้านปอนด์ต่อปีที่ต้องจ่ายในสัญญายืมตัวครั้งนี้ เราอาจจะต้องภาวนาขอให้สิ่งที่วิเคราะห์มามันไม่เป็นความจริง
ตัวอย่างของการ ‘คืนสู่เหย้า’ แล้วล้มเหลวไม่เป็นท่าก็มีให้เห็นอยู่เนือง ๆ ล่าสุดเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาในรายของ เวย์น รูนีย์ ที่ตัดสินใจกลับไปตายรังกับ เอฟเวอร์ตัน แต่สุดท้ายอยู่ได้แค่ซีซันเดียวก็ต้องระหกระเหินไปเล่นในอเมริกาก่อนจะกลับมารับงานผู้เล่น-โค้ชกับ ดาร์บี้ เค้าท์ตี้ ใน เดอะแชมเปี้ยนชิพ
หลายคนอาจแย้งว่าแล้วเคส ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ล่ะ ไม่เห็นพูดถึงบ้าง
อยากจะบอกว่าอย่าเอากรณีของ เบล ไปเทียบกับ ‘บร๊ะเจ้า’ เลย เพราะขานั้นสภาพความฟิตในวัย 37 ปียังดูดีกว่าดาวเตะเวลส์หลายเท่า
อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ก็ได้แต่หวังว่าปีกชาวเวลส์จะได้กลับมาแจ้งเกิดในวงการลูกหนังอีกครั้งหลังจากที่กลายเป็นตัวตลกให้แฟนบอลได้พูดถึงกันมาแรมปี
แม้ฟอร์มจะไม่เปรี้ยงเหมือนช่วงพีค แต่แค่เข้ามาเป็นแรงกระตุ้นให้ขุพล ไก่เดือยทอง ได้คึกคัก จุดไฟในการลุ้นความสำเร็จกลับมาอีกครั้ง แค่นี้อาจจะคุ้มกับเงินที่เสียไปแล้วก็ได้
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด