[OPINION] "คาราบาว คัพ" ถ้วยเล็กนอกสายตาของทีมใหญ่แน่หรือ ?!
โดย ชยพล ธานีวัฒน์
หลังการตกรอบเซมิไฟนอลในศึก คาราบาวคัพ ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อกลางสัปดาห์ก่อนทำเอาแฟนบอลหลายคนถึงกับออกอาการ “วัยรุ่นเซ็ง” กันเป็นแถว เพราะนี่คือหนึ่งในถ้วยความหวังของพวกเขาและ โอเล กุนนาร์ โซลชา
ครั้งสุดท้ายที่ทีมใหญ่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้สัมผัสแชมป์ระดับเมเจอร์ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 กับการคว้า “ดัลเบิ้ลแชมป์” อย่าง ลีกคัพ และ ยูฟา ยูโรป้าลีก ภายใต้การคุมทีมของ โชเซ มูรินโญ
จะว่าไปก็เป็นระยะเวลาแค่เพียง 4 ปีเท่านั้นที่พวกเขายังไม่มีถ้วยแชมป์ติดมือ ซึ่งหากเป็นทีมอื่นอาจจะถือเป็นเรื่องปกติแต่กับทีมระดับนี้ถือว่าประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ดังนั้นเมื่อฟอร์มการเล่นกำลังเข้าที่เข้าทาง เก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง จนก้าวขึ้นมาเขย่าบัลลังก์จ่าฝูง พรีเมียร์ลีก อย่าง ลิเวอร์พูล คู่แค้นได้ พวกเขาจึงพกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยมเพื่อที่จะล้มแชมป์ 3 สมัยติดต่อกันอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในรอบเซมิไฟนอลให้ได้ แต่สุดท้ายก็ต้องเจอกับความผิดหวังเข้าแบบเต็ม ๆ
ทำไมการเข้าชิงถ้วยที่ครั้งหนึ่งเคยถูกนิยามว่า “มิคกี้เม้าส์คัพ” จึงสำคัญกับ โอเล กุนนาร์ โซลชา และลูกทีม ปีศาจแดง ถึงขนาดที่ บรูโน แฟร์นันเดส เพลย์เมคเกอร์ตัวแบกทีมต้องโพสลงบนอินสตาแกรมส่วนตัวว่าเขารู้สึกผิดหวังขนาดไหนกับการตกรอบครั้งนี้ว่า
“ผมเสียใจมากและผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง เป็นอีกครั้งที่เราไม่สามารถเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้”
“เราต้องพยายามปรับปรุงตัวเองต่อไปและสู้เพื่อโทรฟีให้ได้”
นั่นเป็นเพราะถ้วย คาราบาวคัพ หรือ ลีกคัพ นี้เป็นสิ่งที่เรียกว่า “ถ้วยเรียกความมั่นใจ” ให้กับบรรดาผู้จัดการทีม โดยเฉพาะทีมใหญ่ที่ต้องการความสำเร็จที่จับต้องได้และรวดเร็วทันใจ และยิ่งเป็น โอเล กุนนาร์ โซลชา ที่ถือว่ายังเป็นมือใหม่ของวงการ หากได้ถ้วยใบนี้ไปครองจะเป็นการเสริมสร้างบารมีและความเชื่อมั่นให้แก่เจ้าตัวและลูกทีมในการก้าวไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าที่รออยู่ข้างหน้า
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมแม้จะถูกค่อนขอดว่าเป็นถ้วยใบเล็กที่สุดและไม่ค่อยมีความสำคัญซักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับ เอฟเอคัพ หรือแม้แต่ พรีเมียร์ลีก แต่ในใจลึก ๆ ของกุนซือทีมระดับบิ๊กซิกก็ต้องการถ้วยใบนี้เพื่อการันตีแชมป์เอาไว้ก่อน
วัดได้จากแชมป์ในช่วง 10 ปีหลังสุดนับตั้งแต่ปี 2011 มีเพียง 2 ทีมที่ไม่ใช่พวก "ยักษ์ใหญ่" ที่ได้ถ้วยใบนี้ไปครองนั่นคือ เบอร์มิงแฮม (2011) และ สวอนซี ซิตี้ (2013) นอกนั้นแบ่งเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 5 สมัย ส่วน ลิเวอร์พูล, เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างได้กันไปคนละ 1 สมัย
อย่างไรก็ตามหลายคนอาจมีเสาียงคัดค้านอยู่ในใจเพราะในกรณีของ เยอร์เก้น คล็อปป์ นั้นอาจจะเป็นผู้จัดการทีมระดับบิ๊กซิกเพียงคนเดียวที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับถ้วยใบนี้ซักเท่าไหร่ เมื่อดูจากช่วง 2-3 ปีหลังมานี้
อดีตกุนซือ ดอร์ทมุนด์ มักจัดตัวแบบไม่เต็มสูบลงเล่นในรอบแรก ๆ และไปไม่ถึงดวงดาวตกม้าตายในรอบต่อมา เช่นปีที่แล้วในรอบสามเอาชนะ ลินคอล์น ซิตี้ 7-2 ก่อนจะพ่าย อาร์เซนอล ในการดวลจุดโทษในรอบต่อมา
หรือถ้าย้อนกลับในซีซัน 2017-2018 และ 2018-2019 ผลงานของ หงส์แดง ในถ้วยใบนี้ยิ่งสุดเลวร้ายโดยตกรอบสามติดต่อกันทั้ง 2 ปีด้วยการแพ้ให้กับ เลสเตอร์ และ เชลซี
แต่อย่าลืมว่าตอนที่ คล็อปป์ ย้ายมาคุมทีมเมื่อเดือนตุลาคม 2015 เขาก็เคยพา ลิเวอร์พูล เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปเจอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ในซีซันนั้นแต่ก็ต้องพ่ายไปในการดวลจุดโทษ และในปีต่อมาก็ยังพาทีมเข้าถึงรอบเซมิไฟนอลได้ด้วย นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้ทิ้งถ้วยนี้ไปซะทีเดียว
กลับมาที่สถานการณ์ปัจจุบันของถ้วยใบนี้ คู่ชิงชนะเลิศเราทราบกันแล้วว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา จะเข้าไปดวลกับคู่ปรับอย่าง โชเซ มูรินโญ ที่พา ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ เข้าชิงชนะเลิศบอลถ้วยได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่สโมสรได้ชูโทรฟีแชมป์ระดับเมเจอร์ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2008 ซึ่งก็คือ ลีกคัพ ใบนี้นั่นเอง
เป๊ป ถือเป็นกุนซือที่ให้ความสำคัญกับ ลีกคัพ มากดูได้จากการที่เขาพา ซิตี้ เป็นแชมป์ 3 สมัยติดต่อกัน เช่นเดียวกับ มูรินโญ ที่เป็นเจ้าของแชมป์ถ้วยใบนี้คนเดียวถึง 4 สมัย ดังนั้นการเจอกันของทั้งคู่จึงเป็นเกมที่มีความหมาย
การคว้าแชมป์ของนายใหญ่ชาวคาตาลันคือการสร้างสถิติเทียบเท่ากับผู้จัดการทีมชาวโปรตุกีส และสำหรับผู้จัดการทีมโปรตุกีสเองก็ถือเป็นการกลับมาพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งว่าเขายังคงเป็นผู้จัดการทีมอันดับต้น ๆ ของโลก พร้อมกับการพา สเปอร์ส ก้าวสู่ยุคใหม่ด้วยการประสบความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันเสียทีหลังจากที่ต้องห่างเหินจากการชูถ้วยแชมป์มานานถึง 13 ปีเต็ม
ดังนั้นถือได้ว่าถ้วย คาราบาว คัพ ปีนี้จึงยังคงมีความสำคัญในตัวของมันเอง แม้แฟนบอลบางทีมอาจจะมองว่าเป็นแค่ถ้วยใบเล็ก ๆ ที่เตะกันไม่กี่นัดก็เป็นแชมป์ได้ แต่ มูรินโญ ที่ได้เข้าชิงปีนี้กลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
“ถ้าคุณมองดูทีมที่เป็นแชมป์ที่ผ่านมา คุณจะรู้เลยว่ามีแต่ทีมใหญ่ทั้งนั้นที่ต้องการได้มันมาครอง”
“ผมจำได้ว่า แมนฯ ซิตี้ เป็นแชมป์ไปหลายสมัย เชลซี ก็เป็นแชมป์มาแล้วหลายสมัย ยูไนเต็ด ก็เป็นแชมป์อยู่ 2-3 ครั้ง ผมยังจำได้ว่า ลิเวอร์พูล ก็เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ อาร์เซนอล ก็เหมือนกัน”
“ทีมใหญ่ ๆ ต่างสนใจถ้วยใบนี้กันทั้งนั้น รอบชิงชนะเลิศมันบอกอะไรเราได้หลายอย่าง”
ลองหนึ่งในสุดยอดผู้จัดการทีมพูดขนาดนี้แล้ว ยังมีใครมองว่าถ้วยนี้เป็นแค่ “มิคกี้เม้าส์คัพ” อยู่อีกมั้ย?
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด