5 ดีลวันปิดตลาดซื้อ-ขาย ที่ยอดเยี่ยมสุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ - OPINION
โดย กนกเทพ คำปลิว
สำหรับคอลูกหนังหลาย ๆ คนแล้ว ช่วงเวลาที่ตื่นเต้นมากที่สุดอย่างหนึ่งในการเชียร์ฟุตบอลก็คือ ตามลุ้นว่าทีมรักของตนจะดึงเอาผู้เล่นใหม่เข้ามาเสริมทัพกันมากน้อยแค่ไหนในแต่ละรอบตลาดซื้อขาย
โดยเฉพาะช่วงซัมเมอร์ของทุกฤดูกาล โดยมีไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ "วันปิดตลาด" ซึ่งปกติแล้ว ส่วนใหญ่เดดไลน์จะตัดหลังจากผ่านพ้นวันที่ 31 สิงหาคมไปแล้วนั่นเอง
แน่นอนว่าการเซ็นสัญญากับนักเตะในวันตลาดปิดอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก เพราะไม่มีเวลาให้แข้งใหม่ได้ปรับตัวกับทีมตั้งแต่ช่วงพรี-ซีซั่น ฉะนั้นหลาย ๆ ครั้งจึงได้ประโยชน์ในเรื่องของความตื่นเต้นเร้าใจมากกว่าคุณภาพ
อย่างไรก็ตาม ยังมีนักเตะระดับท็อปอีกหลายคนที่ตัดสินใจย้ายทีมในวันสุดท้ายของตลาดซื้อ-ขายนักเตะ แล้วกลายเป็นหนึ่งในการเซ็นสัญญาที่ดีสุดประจำฤดูกาล ด้วยผลงานอันโดดเด่นหรือพาทีมใหม่ประสบความสำเร็จเป็นแชมป์ได้ทันที ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่จะเกิดขึ้นบ่อย ๆ
และที่เรากำลังจะพูดถึงต่อไปนี้ก็คือ 5 ดีลวันตลาดปิด ที่กลายมาเป็นการเซ็นสัญญาที่ยอดเยี่ยมสุดบนหน้าประวัติศาสตร์ของ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มีใครบ้าง เลื่อนลงไปชมกันเลย !!
1. คาร์ลอส เตเบซ
ย้ายจาก : โครินเธียนส์ > เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
ในวันที่ : 31 สิงหาคม 2006
ต้องบอกว่านี่เป็นดีลที่เซอร์ไพร์สคอลูกหนังทั้งโลก เพราะหากใครติดตามเกมลูกหนังมาตั้งแต่ยุคนั้นจะทราบดีว่า เตเบซ คือหนึ่งในเพชรเม็ดงามผู้มีดีกรีสูงถึง "วันเดอร์คิด" ที่พร้อมก้าวขึ้นเป็นกองหน้าระดับโลกเลยทีเดียว
และขณะที่สตาร์ชาวอาร์เจนไตน์กำลังตกเป็นข่าวลือกับทีมใหญ่ ๆ มากมาย จู่ ๆ เขาก็เซ็นสัญญากับทีมระดับกลางค่อนลงไปทางล่างของตารางคะแนนอย่าง เวสต์แฮม ด้วยค่าตัวที่คาดว่าน่าจะประมาณ 18 ล้านยูโร พร้อมกับเพื่อนรักอย่าง ฮาเวียร์ มาสเชราโน จนทำให้คอบอลทั้งโลกร้อง ว๊อท ดา ฟ๊าคคคคค พร้อมกันโดยมิต้องนัดหมาย
ฤดูกาลนั้น เตเบซ ได้กลายเป็นกองหน้าขวัญใจแฟนบอลทัพขุนค้อนในเวลาอันรวดเร็ว แม้จะยิงไปเพียง 7 ประตูจากการลงเล่น 26 นัดในลีก แต่ฟอร์มของเขาโดดเด่นเหลือเชื่อ และแต่ละลูกที่ทำได้ถือว่ามีความสำคัญขั้นสุดเพราะช่วยให้ เวสต์แฮม รอดตกชั้นอย่างปาฏิหารย์ โดยมีแต้มมากกว่าทีมอันดับ 18 เพียงแค่ 3 แต้มเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาของ เตเบซ กับ เวสต์แฮม นั้นถือว่าสั้นสุด ๆ เพราะเขาถูกปล่อยตัวให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยืมใช้งานในซัมเมอร์ถัดมา พร้อมขายขาดซึ่งทำเงินเข้าสโมสรได้มหาศาลด้วยเช่นกัน
2. โคลด มาเกเลเล
ย้ายจาก : เรอัล มาดริด > เชลซี
ในวันที่ : 31 สิงหาคม 2003
มิดฟิลด์ตัวรับชาวฝรั่งเศสคนนี้ ใช้เวลาเพียง 3 ฤดูกาลกับ เรอัล มาดริด เพื่อพาตัวเองก้าวขึ้นสู่การเป็นนักเตะระดับโลก พร้อมพาทีมคว้าแชมป์ลาลีกา 2 สมัย, ยูฟา แชมเปียนส์ลีก 1 สมัย และเมื่อรวมกับถ้วยยิบย่อยอื่น ๆ เขาคว้าแชมป์กับทัพราชันชุดขาวมากถึง 7 รายการเลยทีเดียว
จากนั้น มาเกเลเล ก็ตัดสินใจพาตัวเองย้ายมาหาประสบการใหม่ ๆ กับ เชลซี ที่เพิ่งได้มหาเศรษฐีอย่าง "เสี่ยหมี" โรมัน อับราโมวิช เป็นเจ้าของคนใหม่พอดิบพอดี โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตของพวกเขาจะเดินไปในทิศทางใด
มาเกเลเล ที่ตอนนั้นอายุ 30 ปีเต็มแล้ว พกคุณภาพของนักเตะระดับโลกมาใช้ในเวทีพรีเมียร์ลีกได้อย่างเต็มที่เหมือนเดิม และกลายเป็นหนึ่งในเสาหลักของทัพสิงโตน้ำเงินครามได้อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งการเข้ามาของ โฆเซ มูรินโญ ในปีถัดมาได้ทำให้ชีวิตของทุกคนที่อยู่ในสโมสรแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
ตลอดระยะเวลา 5 ฤดูกาลที่ มาเกเลเล ค้าแข้งอยู่ในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เขาทำผลงานโดดเด่นจนสื่อต่างชาติยกย่องว่าโดดเด่นกว่าตอนเล่นให้ เรอัล มาดริด ซะอีก แถมยังพาทีม เชลซี คว้าแชมป์ได้มากถึง 6 รายการ โดยเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัยติดต่อกันในปี 2005 และ 2006
3. แอชลีย์ โคล
ย้ายจาก : อาร์เซนอล > เชลซี
เมื่อวันที่ : 31 สิงหาคม 2006
สำหรับการย้ายทีมครั้งนี้ของ เจ้าโคลจิ๋ว ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่ทำร้ายจิตใจแฟนบอล อาร์เซนอล ขั้นสุด เพราะเขาคือดาวรุ่งระดับวันเดอร์คิดที่เติบโตขึ้นจากอคาเดมีโดยตรง แถมเจ้าตัวยังเป็นสาวกปืนใหญ่พันธุ์แท้มาตั้งแต่เด็ก ๆ อีกด้วย สำคัญคือดีลนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากลหลายอย่าง โดยเฉพาะการแอบเจรจากันลับหลังต้นสังกัดซึ่ง โคล ยอมจ่ายเงินค่าปรับ 100,000 ปอนด์ เพื่อจะได้ย้ายทีมหนีแบบไม่มีอะไรค้างคา
อย่างไรก็ตาม คุณภาพฝีเท้าของแบ็คซ้ายคนนี้ก็เป็นเรื่องที่คอลูกหนังทั้งโลกยอมรับ เพราะ 1 ในคนที่ดีสุดของทีมชาติอังกฤษตลอด 20-30 ปีหลังสุดแบบไม่มีใครเทียบได้เลยทีเดียว
โคล ใช้เวลาอยู่กับ เชลซี นานถึง 8 ฤดูกาลซึ่งเขาคือหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จอย่างมากมาย ซึ่งเจ้าตัวก็ถูกยกย่องให้เป็นอีกหนึ่งตำนานของสโมสรก่อนจะย้ายออกไปอยู่กับ โรมา ในปี 2014
พรีเมียร์ลีก 1 สมัย, เอฟเอคัพ 4 สมัย, ลีกคัพ 1 สมัย, คอมมูนิตี้ชิลด์ 1 สมัย, ยูฟา แชมเปียนส์ลีก 1 สมัย, ยูโรปาลีก 1 สมัย คือถ้วยแชมป์ที่ โคลจิ๋ว พากลับมาประดับตู้โชว์ในสแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้บนเส้นทางค้าแข้งของตน
4. หลุยส์ ซัวเรซ
ย้ายจาก : อาแจกซ์ > ลิเวอร์พูล
เมื่อวันที่ : 31 สิงหาคม 2011
หากถามแฟนบอล ลิเวอร์พูล ในยุคปัจจุบันว่าหากดึงเอากองหน้าในอดีตกลับมาได้เพียง 1 คน พวกเขาอยากได้ใครมากที่สุด เชื่อว่ามากกว่า 90% จะต้องพูดชื่อของ หลุยส์ ซัวเรซ คนนี้ออกมาอย่างแน่นอน
ย้อนกลับไปในวันที่ เคนนี ดัลกลิช กุนซือหงส์แดงขณะนั้นเปิดตัว ซัวเรซ ในฐานะกองหน้าคนใหม่ผู้มีค่าตัว 22.8 ล้านปอนด์ แฟนบอลยังไม่ค่อยให้ความสนใจเขามากเท่าไหร่นัก เพราะดันย้ายมาพร้อม แอนดี้ แคร์โรล์ ที่ค่าตัวสูงเป็นสถิติสโมสรคือ 35 ล้านปอนด์นั่นเอง
แต่เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป แคร์โรล์ ที่แฟน ๆ ตั้งความหวังเอาไว้สูงลิบกลับถอยหลังลงคลองจนฝากฝังอะไรไม่ได้อีกแล้ว แต่ทางฝั่ง ซัวเรซ กลับดีวันดีคืน ยิงประตูต่อเนื่อง โชว์ฟอร์มโดดเด่นจนแทบจะกลายเป็นผู้แบกทีมแทน สตีเวน เจอร์ราร์ด ไปเลยด้วยซ้ำในบางแมตช์ จนสุดท้ายเขาก็กลายเป็นกองหน้าที่แฟน ๆ รักมากที่สุดไปโดยปริยาย
น่าเสียดายที่ในฤดูกาล 2013-14 ลิเวอร์พูล ไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้ทั้ง ๆ ที่ ซัวเรซ ระเบิดฟอร์มสุดยอดออกมาระดับที่เรียกว่า มีเท่าไหร่ใส่หมด และนั่นก็ทำให้ความอดทนของเขาหมดลงจนตัดสินใจย้ายไปค้าแข้งกับ บาร์เซโลนา ด้วยค่าตัวราว 75 ล้านปอนด์ พร้อมสลักคำว่าตำนานเอาไว้ในใจ เดอะ ค็อป ทุกคน
5. เวย์น รูนีย์
ย้ายจาก : เอฟเวอร์ตัน > แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เมื่อวันที่ : 31 สิงหาคม 2004
สำหรับ เวย์น รูนีย์ เขาคือกองหน้าพรสวรรค์สูงที่แจ้งเกิดกับ เอฟเวอร์ตัน ได้ตั้งแต่อายุแค่ 16 ปี ก่อนจะโดน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดึงตัวมาอยู่ด้วยตอนอายุ 18 ด้วยค่าตัวก้อนมหาศาลพร้อมจ่ายค่าเหนื่อยให้สูงลิ่วระดับซูเปอร์สตาร์ในยุคสมัยนั้นเลยทีเดียว
เขาเป็นกองหน้าที่มีรูปร่างค่อนข้างท้วมแต่กลับเคลื่อนที่ได้คล่องแคล่วว่องไว การเร่งสปีดก็ถือเร็วมากพอจะฉีกกองหลังคู่ต่อสู้ให้ขาดเป็นริ้ว ๆ ได้สบาย แถมยังมีทักษะการจบสกอร์คมกริบอีกด้วย ซึ่งแต่ละฤดูกาลนั้นสถิติการยิงประตูถือว่าสูงใช้ได้และสม่ำเสมอต่อเนื่องอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว
รูนีย์ อยู่ค้าแข้งกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นานถึง 13 ฤดูกาล เรียกว่าแทบจะทั้งชีวิตพ่อค้าแข้งของตัวเองเลยทีเดียว และจากการลงเล่น 559 นัดรวมทุกรายการ เขายิงได้มากถึง 253 ประตูกับอีก 146 แอสซิสต์
แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ แมนฯ ยูไนเต็ด ภายใต้การเป็นหัวหอกของ "เสี่ยหมู" ประสบความสำเร็จเป็นแชมป์มากมาย เช่น พรีเมียร์ลีก 5 สมัย, เอฟเอคัพ 1 สมัย, ลีกคัพ 3 สมัย, คอมมูนิตี้ชิลด์ 4 สมัย, ยูฟา แชมเปียนส์ลีก 1 สมัย, ยูโรปาลีก 1 สมัย และแชมป์สโมสรโลกอีก 1 สมัย ซึ่งคู่ควรกับคำว่า "ตำนานผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด" อย่างแท้จริง
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น!
*ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด