ก่อนวันสุดท้าย พรีเมียร์ลีก 2022/23 - OPINION
ฤดูกาลนี้ของพรีเมียร์ ลีก จบเกือบทั้งหมดแล้วกับอีกไม่กี่เกมที่เหลือของฤดูกาล บางสโมสรอาจจะต้องเร่งเตะแบบต่อเนื่องในช่วงไม่กี่วันต่อจากนี้ เพื่อให้เกมสุดท้ายจบพร้อมกันในวันที่ 28 พฤษภาคม 2023 อย่างเช่น ไบร์ทตัน, เชลซี หรือว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์ปีนี้ที่เพิ่งเล่นไป 35 เกม ขอแสดงความยินดีกับพวกเขาด้วยกับทีมที่รักษามาตรฐานชัยชนะได้ดีที่สุดของปีนี้ คู่ควรกับการเป็นแชมป์
ในส่วนของพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีก ลิเวอร์พูล มีความหวังเล็กน้อยมากในการไปถึงแชมเปี้ยนส์ ลีก ปีหน้า ต้องลุ้นหลายอย่าง นอกจากต้องชนะนัดส่งท้ายแล้ว ต้องลุ้นให้ นิวคาสเซิ่ล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พลาดแบบบถล่มทลายมาก ซึ่งว่ากันตามฟอร์มแล้ว ยากที่นิวคาสเซิ่ลจะหลุด 4 อันดับแรก และจะเป็นการไปแชมเปี้ยนส์ ลีกครั้งแรกในรอบ 20 ปีของทัพสาลิกาดง ส่วนปีศาจแดงขอหนึ่งคะแนนจากสองเกมพวกเขาก็จบภารกิจแล้วเช่นกัน
สนุกที่สุดคงเป็นพื้นที่บอลยุโรปถ้วยเล็กทั้งสองรายการที่ยังมี ไบร์ทตัน เป็นตัวแปรสำคัญ ไม่ว่าจะจบด้วยอันดับเท่าไร การไปฟุตบอลยุโรปครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกของนกนางนวลในการบินสูงสู้ศึกนอกประเทศ ส่วนแอสตัน วิลล่า การมาของ อูไน อเมรี่ ทำให้แฟนบอลมีความสุขจากลุ้นหนีตายมาลุ้นไปยุโรปในเกมสุดท้าย ขณะที่ สเปอร์ส ปีนี้น่าผิดหวังในทุกมิติกับสิ่งที่พวกเขาหวังไว้ตอนต้นฤดูกาล และจะแย่ยิ่งกว่านั้นถ้าวันสุดท้ายพวกเขายังอยูในอันดับเดิมแบบวันนี้ เช่นเดียวกับ เชลซี ที่ปีนี้เป็นเพียงผู้ชมในทุกรายการ โดยเฉพาะพรีเมียร์ ลีก ที่พวกเขาร่วงมาไกลถึงครึ่งล่างของตารางสวนทางกับการลงทุนที่สูงที่สุดของลีก
การลุ้นตกชั้นยังคงระอุแบบเดือด ๆ แน่นอนเมื่อมี 2 จาก 3 สโมสร ต้องจากลีกสูงสุดไปตามเซาธ์แธมป์ตันไป “รักพี่เสียดายน้อง” ทั้งสิ้น เพราะทั้งสามคือสโมสรที่คุ้นเคยกันมานาน แต่มาวันนี้ชัดเจนแล้วว่า เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมของเจ้าของสโมสรชาวไทย เสี่ยงมากกับการจะเป็นแบบแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในฐานะแชมป์พรีเมียร์ ลีก ที่ต้องตกชั้น และมาถึงวันนี้ยังกลับมาไม่ได้อีกเลย ขณะที่ เอฟเวอร์ตัน ที่ยังไม่เคยร่วงจากพรีเมียร์ ลีก มาปีนี้เหมือนฉายหนังซ้ำแบบปีก่อนลุ้นกันถึงวันสุดท้ายอีกครั้ง ขณะที่ ลีดส์ ยูไนเต็ด กับสองเกมสุดท้าย แค่ไม่แพ้ทั้งสองเกมไม่พอเพราะลูกได้เสียน้อยกว่าเอฟเวอร์ตัน หากแต้มเท่ากันพวกเขาร่วง ต้องมีชัยชนะปะปนอยู่ในนั้นด้วยเพื่อลุ้นอยู่รอด
วนกลับมาถึงทีมรัก อาร์เซนอล ปีนี้จบด้วยอันดับสอง เป็นฤดูกาลที่ขึ้นสุดลงสุดของทัพปืนใหญ่ ปีนี้มาไกลกว่าที่วางเป้าหมายไว้แต่แรก น่าเสียดายที่ไม่สามารถรักษาโมเมนตัมความได้เปรียบเอาไว้ได้ ช้างตกลงมาจากต้นไม้เคยปีนกลับขึ้นไปได้หนึ่งครั้ง หลังจากนั้นการตกครั้งต่อมาก็ไม่สามารถกลับมาได้อีกเลย
ผู้เขียนไม่อยากพูดว่ามันเป็นเรื่องของ “บทเรียน” แต่มองว่าเป็นเรื่องของ “ประสบการณ์”มากกว่า เมื่ออยู่ในช่วงสถานการณ์ที่กดดัน ลุ้นความสำเร็จ ต้องทำอย่างไรในการเอาตัวให้รอด เป็นประสบการณ์ร่วมกันทั้ง มิเคล อาร์เตต้า และทุกคนในทีมต้อง “ดูไว้ จำไว้ เจ็บไว้ และห้ามลืม” เพราะประสบการณ์นี้ขมขื่นยิ่งนัก เมื่อยิ่งถูกพูดถึงเกมที่พลาด ๆ มาตลอด 37 เกม อาร์เตต้าก็ยอมรับแบบตรงไปตรงมาว่า เกมที่แอนฟิลด์ (เสมอ 2-2) คือจุดเริ่มต้นของความรวน และกลายเป็นผิดพลาดไปหมด
“มันเริ่มต้นจากสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมที่แอนฟิลด์ เราปล่อยชัยชนะหลุดลอยไป และหลังจากนั้นเราลงเล่นกับ เวสต์แฮม เรามีโอกาสทำให้เกมกลายเป็น 3-1 (ซาก้า พลาดจุดโทษ) และนั่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เราเสียประตูเยอะมาก เสียไปถึง 16 ประตู (นับรวมเกมกับเวสต์แฮม รวมแล้ว 7 เกม) มันเยอะมาก การอยากจะชนะในลีกนี้คุณต้องเน้นทุกเรื่อง แต่เรากลับปล่อยให้มันเกิดขึ้น และขยายวงกว้างขึ้นกว่าเดิม นั่นคือเหตุที่ว่าทำไมเราถึงพลาดแชมป์”
นับจากวันชนะลีดส์ 4-1 ในวันที่ 1เมษายน 2023 ผลงานของอาร์เซนอลบ่งบอกการทำลายตัวเอง ด้วยผลงาน 8 เกม ชนะ 2 เสมอ 3 แพ้ 3 (D D D L W W L L) และนำมาซึ่งการหมดลุ้นแชมป์
อาร์เซนอล ชุดนี้เหมือนตื่นจากความฝัน และสะกิดแฟนบอลว่าตื่นกันเถอะแฟนบอลด้วยผลงานตลอด 8เกมหลังสุด ว่าทีมชุดนี้ยังต้องปรับปรุงอีกมาก หากต้องการเป็นแชมป์พรีเมียร์ ลีก ยุคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองเกมล่าสุดที่เล่นแบบลืมหัวใจของนักสู้ที่อยากเป็นผู้ชนะลงไปด้วย
หากเป็น 10 กว่าปีที่แล้ว อาร์เซนอล เล่นแบบนี้ได้แต้มเท่านี้ (81 คะแนน) พวกเขาอาจจะลุ้นแชมป์ได้อยู่ถึงวันสุดท้าย แต่ยุคของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ครองบัลลังก์ คุมบังเหียนโดย เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นับจากปี 2016 ทีมแชมป์ลีกได้แต้มต่ำสุดคือ 86 สูงสุดคือ 100 ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา (แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4, เชลซี 1, ลิเวอร์พูล 1) ว่ากันด้วยเรื่องตัวเลขเพียว ๆ อาร์เซนอล ยังไปไม่ถึงขั้นต่ำที่ว่านั้นเลย ขณะที่ ซิตี้ปีนี้เหลืออีกสามเกม พวกเขาแต้มสูงสุดที่ลุ้นได้คือ 94 คะแนน ตอนนี้กดไปแล้ว 85 คะแนน
จากอันดับ 8 (2019-2020) อันดับ 8 (2020-2021) ก้าวมาถึงอันดับ 5 (2021-2022) และมาปีนี้อันดับสอง ทีมมีพัฒนาการที่ต่อเนื่องในเชิงบวก แม้จะเสียฟอร์มไปพอสมควรในช่วงเดือนที่ผ่านมาก็ตาม ซึ่งด้วยผลงานแบบนี้ เขานำพาตัวเองไปอยู่เครื่องหมายคำถามอีกครั้งว่าจะมีไม้เด็ดอะไรอีกไหมมากกว่าที่เห็นอยู่ นั่นคือเรื่องที่จะเกิดขึ้นในช่วง Pre-season ที่กำลังรอพวกเขาอยู่ กับการสู้ศึกในปีหน้า และผลงานของปีหน้าจะโดนประเมินด้วยมาตรวัดที่สูงกว่าเดิมตามปีการทำงานที่มากขึ้นของเขาด้วยเช่นกัน
มิเคล อาร์เตต้า เองก็พอจะพูดได้ว่าเป็นโค้ชที่โชคดีมากคนหนึ่ง เมื่อคุณยังหนุ่มแน่นในวงการนี้ แต่ได้รับการสนับสนุนที่ดี ได้รับอิสระในการเลือก และทำหลายอย่างมาตลอดสามปีครึ่งในการทำงาน เป้าหมายนับจากนี้จะสูงขึ้นไปอย่างไม่มีทางเลือก เพราะฤดูกาลนี้มันเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับทีม ต่อจากนี้จะกลายเป็นการรักษามาตรฐานที่ทำได้ไว้ให้ได้แบบที่ เวนเกอร์ เคยทำไว้นานนับสิบปี บนพื้นฐานที่ว่านายใหญ่ฝรั่งเศสทำได้ในช่วงที่ทีมมีหนี้สนาม ขายตัวหลักออกทุกปี ส่วนทีมของอาร์เตต้า ไม่มีเรื่องเหล่านี้ แต่คู่แข่งรอบลีกก็แกร่งขึ้นมากเช่นกัน โดยเฉพาะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รวมถึงอีกหลายทีมที่ปีหน้าจะไม่ยอมให้จบแบบนี้แน่
สแตน โครเอนเก้ เคยกล่าวไว้ว่าเขาอยากสนับสนุนทีมให้เป็นประสบความสำเร็จให้ได้ แต่หวังว่าจะไม่ได้ มองว่าการไปแชมเปี้ยนส์ ลีกแบบที่ผ่านมา แต่จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการไปสู่เป้าหมายที่สูงกว่าที่ปีนี้พลาดไปอย่างน่าเสียดาย หวังว่าตระกูลโครเอนเก้ จะไม่ปล่อยให้แฟนบอลฝันค้างอีก ที่เหลือคือการรอว่าตลาดการซื้อขายรอบต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
อีก 7 วันนับจากนี้ เข้าสู่เกมสุดท้ายของฤดูกาล พรีเมียร์ ลีก ปิดฤดูกาลในฤดูกาลที่มีทั้งฟุตบอลโลกกลางฤดูกาล ที่นักเตะหลายคนไม่ได้พักเลยตลอดปี มิถุนายน 2023 จะเป็นเดือนแห่งการพักผ่อนของพวกเขา ก่อนจะกลับมาอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม 2023 ฤดูกาลใหม่ก็จะกลับมา พร้อมกับตารางแข่งขันที่มันเป็นแบบที่เคยเป็นมา…นี่ล่ะ “พรีเมียร์ ลีก”