เจาะจุดตาย ลิเวอร์พูล กับ 140 ล้านปอนด์ที่จ่ายไป...ได้แค่คำว่า 'รอก่อน' - OPINION
แม้อาจเป็นแค่ความเห็นหนึ่งจากอดีตนักเตะ แต่ก็น่าฟังอยู่ไม่น้อยกับการที่ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ร่ายปากการะบายความอัดอั้นตันใจต่อต้นสังกัดเก่า ลิเวอร์พูล เอาไว้ หลังผลงานฤดูกาลนี้ออกมาแย่ผิดความคาดหมาย ต้องสู้ยิบตาเพื่อให้จบในท็อปโฟร์
อดีตดาวยิงยุค 90 ตั้งคำถามถึงบอร์ดบริหารหงส์แดงเอาไว้ ว่าดูจะเดินหมากเสริมทัพอย่างผิดพลาดไปหน่อยไหม ภายหลังเสียคนสำคัญอย่าง ซาดิโอ มาเน่ แล้วเลือกจะเน้น "ซื้อเพื่ออนาคต" จ่ายเงินคว้านักเตะอายุน้อย ใช้งานได้ในระยะยาว มากกว่าจะ "ซื้อเพื่อปัจจุบัน" ฉีกซองเทน้ำร้อนแล้วกินได้ทันที
ฉะนั้น คงต้องมาพิจารณากันหน่อยว่าสิ่งที่ ฟาวเลอร์ เอ่ยไว้ ถูกต้องหรือไม่ประการใด
ไปดูกันว่า 140 ล้านปอนด์ที่ ลิเวอร์พูล ลงทุนไปกับกองหน้ารายใหม่ทั้ง 3 ได้อะไรตอบแทนกลับมาบ้าง...
หลุยส์ ดิอาซ : 37.5 ล้านปอนด์
ย้ายจาก เอฟซี ปอร์โต้ มาในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังของ 2021/22 และโชว์ผลงานได้แจ่มดีทีเดียวกับระยะเปิดตัวในเครื่องแบบหงส์แดง ลงสนาม 26 นัดซัด 6 ประตู โดยที่ 4 ในนั้นเป็นการยิงในพรีเมียร์ลีก
หรือเมื่อเข้าสู่ซีซั่นนี้ ดิอาซ ก็ยังทำผลงานได้เข้าตา กด 4 ประตูจาก 12 เกมแรกที่ลงสนาม เพียงแต่ว่าความต่อเนื่องก็สะดุดกึกลงไปจากเกมแพ้ อาร์เซน่อล 2-3 ตอนต้นเดือน ต.ค. ที่ปีกโคลอมเบียบาดเจ็บต้องออกจากสนามช่วงปลายครึ่งแรก น.42
ปรากฎว่านั่นคืออาการ "เข่าพัง" ซึ่งตอนแรกคาดว่าเขาจะกลับคืนสนามได้ในช่วงเดือน ธ.ค. แต่ก็ดันไปเจ็บซ้ำเสียอีกหลังกลับมาซ้อม จนตอนนี้เข้าเดือน มี.ค. เดือน 3 ของศักราชใหม่แล้ว ก็ยังไม่พร้อมสำหรับการคัมแบ็ก
ในการให้สัมภาษณ์เมื่อเร็วๆ นี้ เยอร์เก้น คล็อปป์ เผยด้วยความเชื่อมั่นว่า ดิอาซ จะกลับมาสร้างอิมแพ็กต์ ที่ไม่ใช่เมืองทอง แต่เป็นในสนามได้แน่ในช่วงท้ายซีซั่น แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจว่าตอนไหนแน่ที่ดาวเตะวัย 26 จะพร้อมลุย "เมื่อเขากลับมา เขาจะทำได้ดีแน่ และจะสร้างผลกระทบได้มาก มันชัดเจนในเรื่องนั้น แต่เขาจะกลับมาเร็วแค่ไหน? ผมไม่รู้ เราต้องรอดู นี่คือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ในช่วงเวลานี้ ซึ่งไม่ใช่เวลาที่จะอดทน แต่คุณก็ต้องอดทน”
สรุปคือ ก็ยังไม่แน่ชัดว่าจะกลับมาได้ตอนไหน แล้วจะเรียกฟอร์มเก่งได้เมื่อใด
ต้องรอไปก่อน
ดาร์วิน นูนเยซ : 65 ล้านปอนด์
ย้ายมาด้วยความฮือฮาและความคาดหวังสูง ทั้งด้วยตัวเลขราคา 65 ล้านปอนด์ และผลงานที่ร่ายให้กับ เบนฟิก้า ระดับที่ยิง 34 ประตูในซีซั่นที่แล้ว โดยที่ 2 ลูกในนั้นเป็นการยิงใส่ ลิเวอร์พูล โดยตรงใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีม
ที่จริงจนถึงตอนนี้ นูนเยซ ก็ถือว่าสอบผ่านในระดับหนึ่ง สร้างผลงานไม่เลวร้าย ยิงรวม 12 ประตูจาก 29 นัด
เพียงแต่ก็อย่างที่เราเห็นกันมาตลอดว่าหัวหอกวัย 23 เหมือนดาวยิงที่ยัง "โตไม่เต็มที่" ยังต้องพัฒนาตัวเองขึ้นอีกระดับ เพิ่มความเฉียบคม เพิ่มความแน่นอน เพิ่มความสม่ำเสมอ ลดความกระโดกกระเดกในบางจังหวะ จนถึงประสานงานกับเพื่อนแนวรุกให้เนียนกว่าที่เป็น
ความที่เป็นอุรุกวัยเหมือนกัน และยังทันเล่นด้วยกันในทีมชาติ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ นูนเยซ จะถูกเปรียบเทียบกับ หลุยส์ ซัวเรซ ตำนานดาวยิงรุ่นพี่ ที่เคยสร้างผลงานขั้นสุดยอดเอาไว้จนตราตรึงใจ เดอะ ค็อป ทั้งมวล (2011-2014, 82 ประตูจาก 133 นัด)
ซึ่งก็ชัดเจนอีกเหมือนกันว่า นูนเยซ ยังต้องใช้เวลาอีกพักเพื่อพาตัวเองไปถึงจุดนั้น อย่างเร็วสุดอาจจะเป็นในซีซั่นหน้า รอให้ผ่าน "ปีปรับตัว" ของซีซั่นนี้ไปก่อน
ก็ใช่หรือไม่ว่า กว่าที่ ดาร์วิน นูนเยซ จะเปรี้ยงปร้างได้
ต้องรอไปก่อน
โคดี้ กัคโป : 37 ล้านปอนด์
ตัวละครลับที่โผล่มายังแอนฟิลด์แบบเซอร์ไพรส์ หักอกแฟนบอลปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่แอบหวังว่าจะเข้ามาเป็นตัวแทนของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในตลาดหน้าหนาวรอบล่าสุด
หลังปักหลักกับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น มาตั้งแต่เป็นแข้งเยาวชน โคดี้ กัคโป เริ่มสร้างผลงานเป็นชิ้นเป็นอันในช่วง 2-3 ซีซั่นหลัง โดยเฉพาะซีซั่นก่อนที่กด 21 ประตู และสร้างความต่อเนื่องกับครึ่งแรกของซีซั่นนี้ที่ซัดไป 13 ตุง
สปอตไลท์ฉายมายัง กัคโป อย่างเต็มที่ก็ใน ฟุตบอลโลก 2022 ที่สร้างผลงานชิ้นโบว์แดง ยิงได้นัดละประตูในตลอด 3 เกมของรอบแบ่งกลุ่ม (2-0 เซเนกัล, 1-1 เอกวาดอร์, 2-0 กาตาร์)
และอย่างที่ไม่มีใครทันได้สังเกต หนุ่มวัย 23 ก็กลายมาเป็นสมาชิกใหม่ในรั้วแอนฟิลด์ ในวันขึ้นปีใหม่พอดี
ถึงตรงนี้ กัคโป ลงเล่นให้ ลิเวอร์พูล 10 นัด เพิ่งซัดไปเบาๆ 2 ตุง
แน่นอนว่าหนึ่งคือย้ายมาเลท ไม่มีเวลาปรับตัวปรับใจมากนัก ทั้งกับเพื่อนใหม่และสไตล์ฟุตบอลอังกฤษ และสองคือ ก็เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่นักเตะที่ย้ายมาในตลาดหน้าหนาว จะยังไม่อาจฝากความหวังได้เต็มที่ อย่างน้อยต้องให้เวลาปรับจูนกันสักครึ่งปี ซีซั่นหน้าค่อยรู้ดำรู้แดง
ไม่ต่างกัน ช่วงเวลาระเบิดตูมตามของ กัคโป ในแอนฟิลด์นั้น
ต้องรอไปก่อน
140 ล้านปอนด์ที่เสียไป...
จะเห็นได้ว่า 3 ตัวใหม่ที่เข้ามา สิริรวมราคาเหยียบ 140 ล้านปอนด์นั้น ยังต้อง "รอก่อน" กว่าที่จะเปรี้ยงปร้าง จะระเบิดฟอร์มกับ ลิเวอร์พูล ได้สมตามความคาดหวัง
ยิ่งเมื่อบวกกับการที่ทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ดีโอโก้ โชต้า ฟอร์มตกฟอร์มหล่น (และมีปัญหาบาดเจ็บ) ไปตามๆ กันแล้ว ก็ได้ผลลัพธ์คือจำนวนการทำประตูที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
จากจุดพีคของแผงรุก SMF ซาลาห์-มาเน่-ฟีร์มิโน่ ที่ยิงรวมกัน 46 ประตู (นับเฉพาะเกมลีก) ในปีเถลิงแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งประวัติศาสตร์ 2019/20
ซีซั่นรุ่งขึ้น 2020/21 มาตรฐานความร้อนแรงยังคงอยู่ SMF ซัดรวมกันในลีก 42 ประตู แถมยังมี โชต้า เข้ามาเติมความดุดัน กดเพิ่มอีก 9 ประตู
หรือ 2021/22 ที่โดน แมนฯ ซิตี้ ปาดคว้าแชมป์ไปด้วยการเหนือกว่า 1 แต้มถ้วน SMF+J (โชต้า) ก็ยังซัดกระจาย สกอร์ไหลมาเทมาถึง 59 ประตูในแผงรุกจตุรเทพ โดยแบ่งเป็น ซาลาห์ 23, มาเน่ 16, โชต้า 15 และ ฟีร์มิโน่ 5
แต่พอมา 2022/23 ที่ SMF ถึงจุดจบ มาเน่ อำลาทีมไป และ เยอร์เก้น คล็อปป์ ต้องพยายามสร้างแนวรุกใหม่ด้วยตัวเลือกอย่าง ซาลาห์, ฟีร์มิโน่, นูนเยซ, กัคโป ขณะที่ หลุยส์ ดิอาซ กับ ดีโอโก้ โชต้า เจอปัญหาเจ็บหนักพักยาวแล้วนั้น เส้นกราฟก็ดิ่งลงทันที
จนถึงตอนนี้ ก่อนเกมตกค้างกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ปรากฏว่าเมื่อมัดรวมแนวรุก ลิเวอร์พูล 6 คนเข้าด้วยกันแล้ว ผลงานกระทุ้งตาข่ายในพรีเมียร์ลีกของพวกเขาอยู่ที่เพียง 26 ประตูเท่านั้น
ซาลาห์ 8
ฟีร์มิโน่ 7
นูนเยซ 6
ดิอาซ 3
กัคโป 2
โชต้า 0
(ส่วน เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาแลนด์ คนเดียว ยิงในลีกไปแล้ว 27 ประตู)
กับฤดูกาลนี้ที่เหลือเวลา 3 เดือน หากว่าไม่มีใครจับพลัดจับผลูระเบิดฟอร์มขึ้นเป็นพิเศษแบบกินถั่วเซียนเข้าไป ชนิดเดี๋ยวยิงแฮตทริกเดี๋ยวซัดเบิ้ล ก็คงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทาบผลงานเก่าของปีก่อนๆ
สำคัญคือ เมื่อบรรดากองหน้าไม่อาจผลิตสกอร์ได้มากอย่างที่ควรจะเป็น จำนวนประตูทั้งหมดที่ ลิเวอร์พูล ทำได้ในพรีเมียร์ลีกปีนี้ ก็จึงลดระดับลงไปอย่างน่าใจหายด้วยเช่นกัน
ลิเวอร์พูล ผ่าน 23 นัดด้วยการยิงแค่ 38 ประตู เป็นจำนวนที่น้อยกว่าบรรดาท็อปโฟร์ตอนนี้ทั้งหมดทุกทีม (แมนฯ ซิตี้ 64, อาร์เซน่อล 52, สเปอร์ส 46, แมนฯ ยูไนเต็ด 41), น้อยกว่า ไบรท์ตัน ที่กดแล้ว 39 ลูก หรือมากกว่า เบรนท์ฟอร์ด (37) และ เลสเตอร์ ซิตี้ (36) แค่ลูกสองลูกเท่านั้น
ส่วนถ้าจะถามถึงวิธีแก้ปัญหา การจะพลิกฟอร์มแนวรุกราคาร้อยกว่าล้านปอนด์เหล่านี้ให้กลับมาร้อนแรงได้เหมือนพลิกฝ่ามือ ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย คงต้องใช้เวลากว่าที่ทุกอย่างจะคลิกลงตัว
พูดง่ายๆ ก็คือ ซีซั่นนี้ยังไม่ถึงเวลาเก็บเกี่ยว
อาจเป็นความจริงที่ยากจะทำใจยอมรับ แต่ 140 ล้านปอนด์ที่ลงทุนไปนั้น
กว่าจะคุ้มทุนได้ ก็คงต้อง...รอไปก่อน...