สิ่งที่ ลิเวอร์พูล ได้ มากกว่าแค่ 3 คะแนนกับสกอร์ 6-1 : OPINION
โดย ชยพล ธานีวัฒน์
คงไม่มีใครคาดคิดว่า ลิเวอร์พูล จะกล้าบุกไปเอาชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด ได้ถึงถิ่นด้วยสกอร์มโหฬาร 6-1 ในศึก พรีเมียร์ลีก เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา เมื่อดูจากผลงานของพวกเขาในช่วง 4 เกมหลังสุด
เพราะนับตั้งแต่ที่ หงส์แดง เปิดบ้านถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปอย่างขาดลอยถึง 7-0 ในศึก แดงเดือด ครั้งล่าสุดพวกเขาก็ไม่สามารถเก็บชัยชนะได้อีกเลย ซึ่งหากนับเฉพาะเกมลีก ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ เก็บได้แค่ 2 คะแนนจากการเสมอ เชลซี และ อาร์เซนอล นอกนั้นคือ 0 แต้มจาการแพ้ต่อ บอร์นมัธ และ แมนเชสตอร์ ซิตี้
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่การออกไปเยือน เอลแลนด์ โร้ด นั้น ลิเวอร์พูล แทบจะไม่ได้เป็นต่ออะไรเลย แม้ว่าเจ้าบ้านจะเป็นทีมที่กำลังหนีตาย แต่ถ้าจำกันได้พวกเขาเคยบุกไปเอาชนะทีมเยือนมาแล้วถึง แอนฟิลด์ ดังนั้นการกลับมาลงเล่นในบ้านตัวเองจึงถือเป็นข้อได้เปรียบอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
ในฤดูกาลนี้ หงส์แดง มักแพ้ทางให้กับทีมที่กำลังดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์ เพราะทีมเหล่านี้จะตั้งใจมาเล่นด้วยความรัดกุมและพร้อมใช้เกมสวนกลับเพื่อขอแค่ไม่กี่จังหวะในการอตัดสินชัยชนะ ซึ่งที่ผ่านมาลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็เจอกับแผนแบบนี้มาตลอดแต่พวกเขาก็ไม่สามารถรับมือได้เลย
ดูหมือนว่านายใหญ่ชาวเยอรมันพยายามที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นเพื่อมิให้ทีมของเขาต้องโดนย้ำแผลเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ในหลาย ๆ เกมพวกเขาทำไม่สำเร็จ โดนขึ้นนำเร็ว เสียประตูง่าย กลางเพรสไม่ได้ หลังผิดพลาด หน้าไม่คม ฟอร์มของทีมเป็นแบบนี้วนไปวนมายากที่จะแก้ไขให้กลับมาเหมือนเดิมได้
อย่างไรก็ตามมันมีประกายเล็ก ๆ ถูกจุดขึ้นในเกมที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านพบกับ อาร์เซนอล เมื่อสัปดาห์ก่อน โดยเฉพาะในช่วง 45 นาทีหลังที่พวกเขาสามารถกลับมายกระดับเกมและไล่ต้อนจ่าฝูงจนไม่สามารถทำอะไรได้ถนัดและตามตีเสมอจากที่โดนนำ 2-0 มาเป็น 2-2 ได้สำเร็จ แถมยังเกือบจะชนะได้อีกต่างหากถ้า ซาลาห์ ไม่ยิงจุดโทษพลาดและ อารอน แรมส์เดล ไม่โชว์ซูเปอร์เซฟช่วยไว้ในช่วงท้ายเกม
ประกายเล็ก ๆ ที่ว่านั้นก็คือรูปแบบการเล่นที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ พยายามเปลี่ยนแปลงมานาน และมันก็ถูกเอามาใช้อย่างได้ผลใน 45 นาทีในเกมดังกล่าว
หากใครสังเกตจะพบว่า ช่วงครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล เปลี่ยนจาก 4-3-3 มาใช้แผน 3-4-3 โดยดัน เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ขึ้นไปเล่นในแดนกลางฝั่งขวามากขึ้นหรือที่ภาษาฟุตบอลเรียกว่าเลนในตำแหน่ง "Inverted Fullback" ซึ่งกลายเป็นว่าเขาสามารถทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจและได้รับคำชมอย่างมากเลยทีเดียว
พอมาเจอกับ ลีดส์ เมื่อคืนที่ผ่านมา คล็อปป์ ก็จัดการเอาแผนนี้มาใช้ตั้งแต่นาทีแรก และทำให้แบ็คขวาวัย 24 ปีกลายเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นอีกครั้ง เป็นหัวใจสำคัญของเกมรุก แต่ก็ไม่เสียกระบวนในเกมรับเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ด้วยการซักซ้อมแผนกันมาเป็นอย่างดี เมื่อ เทรนท์ ดันขึ้นไปเล่นกมรุก ฟาบินโญ จะรับหน้าที่เก็บกวาดแดนกลางอย่างเต็มที่โดยมี อิบราฮิมา โคนาเต้ คอยช่วยซ้อนตรงฝั่งขวาอีกที
จากที่เคยโดนโจมตีด้านขวากลายเป็นว่า ลีดส์ ก็ทำอะไรไม่ถนัด พวกเขามีโอกาสเพียงแคช่วงต้นครึ่งแรก แต่หลังจากนั้นก็เจอทั้งเกมสวนกลับและการเซ็ตบอลเข้าทำจากทีมเยือนจนสุดท้ายพังพาบโดนไปครึ่งโหล
อันที่จริง คล็อปป์ ยอมรับว่าระบบนี้เขาเคยลองใช้มาตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาลแล้ว แต่มันไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่าง กว่าจะมาลงตัวก็ในเกมล่าสุดเมื่อคืนนี้
ในระบบเก่า เทรนท์ จะรับบทบาทตัวริมเส้นฝั่งขวาทั้งเกมรับและรุก ซึ่งมันมีจุดอ่อนตรงที่การเติมแบบนี้ทำให้ด้านหลังมีพื้นที่มหาศาลและโดนคู่แข่งวางบอลยาวข้ามแดนกลางและใช้กองหน้าที่มีความเร็วเข้าทำได้บ่อยครั้ง หรือไม่ก็เน้นไปที่การโยนใส่ด้านนั้นเพื่อกดดันกมรับและสุดท้ายนักเตะ ลิเวอร์พูล ก็จะเสียกระบวนไปเอง
แต่สำหรับรูปแบบการเล่นใหม่นี้ เทรนท์ สามารถขึ้นมาช่วยไล่เพรสตั้งแต่แดนกลางเพื่อตัดปัญหาบอลทะลุถึงหลังแบบง่าย ๆ และถ้าโดนบอมบ์เข้ามาก็มี 3 เซ็นเตอร์อย่าง โคนาเต้, ฟาน ไดค์ และ ร็อบโบ้ ซึ่งลงมาช่วยแบบชั่วคราวรอเก็บกินอยู่
จริง ๆ แผนนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ก็เอามาใช้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตั้งแต่ที่ย้ายมาคุมทีมเมื่อปี 2016 และ มิเกล อาร์เตต้า ก็เอามาปรับใช้ที่ อาร์ซนอล จนฟอร์มพุ่งกระฉูดและกำลังลุ้นแชมป์อยู่ในขณะนี้
6 ประตูของ ลิเวอร์พูล ที่เกิดขึ้นในเกมล่าสุดจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะพวกเขามีเวลาในการตรียมตัวกันนานพอสมควรก่อนจะมาเล่นเกมนี้ ดังนั้นนี่จึงถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่อาจจะส่งผลต่อแนวทางการทำทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ในซีซันหน้าด้วย
ฟอร์มการเล่นในนัดนี้เป็นการส่งสัญญาณว่า ยุคใหม่ของ ลิเวอร์พูล อาจไม่ใช่แค่การเสริมทัพนักเตะใหม่เท่านั้น แต่พวกเขาจะมาพร้อมกับรูปแบบการเล่นที่ดีกว่าเดิม ซึ่งสามารถเป็นอีกหนึ่งอาวุธสำคัญที่จะทำให้พวกเขาคืนสู่ฟอร์มอันแข็งแกร่งอีกครั้ง