แมนยู เริ่มนับหนึ่ง ! วิเคราะห์เส้นทางและความเป็นไปได้กับการคว้าแชมป์ที่ สอง สาม และ สี่ ในฤดูกาลนี้ - OPINION
อาจมีข้อครหาจากบางนักวิจารณ์ว่า แชมป์คาราเบ้ว -เอ๊ย- คาราบาว คัพ ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้มาฉลองกันเมื่อวันอาทิตย์ เกิดขึ้นเพราะมีโชคดวงส่งเสริมไม่น้อย กับเส้นทางน็อกเอาต์ที่ได้เจอแต่ทีมเล็กอย่าง แอสตัน วิลล่า, เบิร์นลี่ย์, ชาร์ลตัน แอธเลติก หรือ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ แถมมานัดชิง ผู้ท้าชิงอย่าง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ก็ไม่อยู่ในสภาพเต็มร้อยเสียอีก
แต่อย่างไรเสีย แชมป์ก็คือแชมป์ และ แมนฯ ยูไนเต็ด ยุคคิดใหม่ทำใหม่ของ เอริค เทน ฮาก ก็เริ่มนับหนึ่งโทรฟี่แรกประจำฤดูกาลนี้ไปก่อนใครเพื่อนแล้ว
คำถามก็คือ หนึ่งมาแล้ว สอง-สาม-สี่ ล่ะ จะตามมาสมทบไหม ?
ลองไปสำรวจตรวจตราดูพร้อมๆ กันหน่อยว่า เอาเข้าจริง แมนฯ ยูไนเต็ด มีโอกาสเป็นแชมป์กี่รายการแน่ในปีนี้?
เอฟเอ คัพ
เดินทางมาถึงรอบ 5 ในช่วงกลางสัปดาห์นี้ ซึ่งในส่วนของ แมนฯ ยูไนเต็ด พวกเขาผ่านด่านที่ไม่ได้แข็งแกร่งมากนักใน 2 รอบที่่ผ่านมา เปิดด้วยรอบ 3 อัด เอฟเวอร์ตัน 3-1 แบบที่ไม่ต้องลุ้นเหนื่อยนัก อันโทนี เปิดสกอร์นำตั้งแต่ 4 นาทีแรก จากนั้นแม้ คอเนอร์ โคดี จะทวงประตูตีเสมอในครึ่งแรก แต่ก็เป็น โคดี นั่นเองที่ยิงประตูตัวเองเมื่อเริ่มต้นครึ่งหลัง (น.52) ก่อนปิดท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด มาได้จุดโทษช่วงทดเจ็บ และ มาร์คัส แรชฟอร์ด ยิงเข้าไปไม่พลาด
ต่อมารอบ 4 รอยตำหนิเดียวคือการต้องเสีย คริสเตียน เอริคเซ่น เจ็บหนักพักยาวจากการเสียบโหดของ แอนดี้ แคร์โรลล์ (แต่ในแง่หนึ่งคือเป็นการเปิดประตูรับ มาร์เซล ซาบิตเซอร์ เข้ามาเติมแดนกลาง) ในส่วนของผลสกอร์ แมนฯ ยูไนเต็ด จ้ำยาวๆ นำห่างถึง 3-0 จากการซัดสองของ กาเซมิโร่ ตบท้ายด้วย เฟร็ด ก่อนที่สุดท้าย เร้ดดิ้ง จะทำดีสุดแค่ตีไข่แตก ให้เกมจบที่ 3-1
สำหรับรอบ 5 หรือ 16 ทีมสุดท้าย เอฟเอ คัพ ที่จะเตะกันคืนวันพุธที่ 1 มีนาคมนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะได้พบกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ของ เดวิด มอยส์ ที่ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ปีศาจแดง เหนือกว่า มีภาษีดีกว่าในการคว้าชัยเพื่อผ่านเข้ารอบ
หนึ่งคือ ที่นี่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด รังเหย้าซึ่ง เอริค เทน ฮาก สรรรค์สร้างให้กลายเป็นป้อมปราการสุดแกร่งขึ้นมาอีกครั้ง ต่างไปจากยุคของ ราล์ฟ รังนิก หรือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่สนามสุดโอ่อ่าแห่งนี้กลายเป็น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด รีสอร์ท & สปา รองรับแขกผู้มาเยือนด้วยไมตรีจิตมานักต่อนัก
นับรวมทุกรายการ ตั้งแต่แพ้ เรอัล โซเซียดัด 0-1 ในเกมเปิดหัวรอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่า ยูโรปา ลีก เมื่อ 8 ก.ย. ปีก่อนมาแล้วนั้น ปรากฏว่า แมนฯ ยูไนเต็ด แทบจะมีสถิติ 100% สำหรับการเล่นในบ้าน แบบที่ระหว่างนั้น เป็นชัยชนะติดต่อกันถึง 13 นัด -- นี่คือสถิติที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ต้องยกนิ้วให้ และไม่เคยมีโค้ชหน้าไหนทำสำเร็จเลยภายหลังท่านเซอร์เฟอร์กี้วางมือไป
หลังแพ้ โซเซียดัด นัดดังกล่าว แมนฯ ยูไนเต็ด ลงเล่นเกมเหย้าทั้งหมด 19 นัดจนถึงวันนี้
19 นัด ชนะ 17 เสมอ 2 ไม่แพ้ใครแม้แต่นัดเดียว!
เช่นเดียวกัน การพบกับ เวสต์แฮม ในระยะหลัง ปีศาจแดงก็ข่มอยู่ชัดเจน โดยพบว่า 3 ซีซั่นหลัง คู่นี้เจอกัน 7 นัด แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายชนะถึง 6 เว้นวรรคแค่นัดเดียวเท่านั้นให้ขุนค้อนเป็นฝ่ายกำชัย
ฉะนั้น การเปิดบ้านพบ เวสต์แฮม คืนพุธนี้ จึงหมายถึงโอกาสดีที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะไปต่อ หากไม่หลุดจากมาตรฐานที่ตัวเองสร้างไว้
ยิ่งไปกว่านั้น ภาพรวมของคู่แข่งที่ยังเหลืออยู่ใน เอฟเอ คัพ ก็เห็นจะมีเพียง แมนฯ ซิตี้ กับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ที่พอจะเป็นก้างขวางคอได้หากต้องพบกันในรอบถัดๆ ไป นอกนั้นไม่ว่าจะ เลสเตอร์ ซิตี้, เซาแธมป์ตัน หรือ ลีดส์ ก็ล้วนแต่เป็นรอง แมนฯ ยูไนเต็ด ทั้งหมด โดยไม่ต้องพูดถึงทีมลีกรอง ดิวิชั่นต่ำลงไปถ้ามีหลุดรอดเข้ามา
ดังนั้น เมื่อบวกปัจจัยทั้ง 3 เข้าด้วยกันแล้ว ทั้งเรื่องของผลงานในบ้าน, โอกาสชนะ เวสต์แฮม และคู่แข่งที่เหลืออยู่ในรายการ คงสามารถประเมินได้ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด มีโอกาสไม่น้อยทีเดียวในการจะทำ "ดับเบิ้ลแชมป์" บอลถ้วยในประเทศ คาราบาว คัพ + เอฟเอ คัพ ได้เป็นผลสำเร็จ
ยูโรปา ลีก
เส้นทางแห่งการเป็นเจ้ายุโรปถ้วยเบอร์ 2 ยังทอดอีกยาวไกลพอสมควร ภายหลังผ่านรอบแรกมาแล้วด้วยการเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม (เป็นรอง เรอัล โซเซียดัด เพียงผลต่างประตูได้เสีย) และผ่านรอบเพลย์ออฟน็อกเอาต์ด้วยการโค่นยักษ์ใหญ่อย่าง บาร์เซโลน่า ลงได้เมื่อสัปดาห์ก่อน
คู่แข่งในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ยูโรปา ลีก ของทัพผีแดง ยังคงเป็นตัวแทนแดนกระทิงดุอย่าง เรอัล เบติส ซึ่งเลกแรกจะเล่นกันพฤหัสบดีหน้า 9 มีนาคม ก่อนตัดสินชี้ขาดในอีก 7 วันให้หลัง
แมนฯ ยูไนเต็ด จะได้เล่นในบ้านก่อนสำหรับเลกแรก ค่อยออกไปเป็นทีมเยือนในนัดชำระความ
สิ่งน่าสนใจคือ แมนฯ ยูไนเต็ด กับ เรอัล เบติส ไม่เคยพบกันมาก่อนเลยในเกมอย่างเป็นทางการ ดังนั้นคงขึ้นอยู่กับฟอร์มการเล่นและความพร้อมของวันนั้นเมื่อเกมมาถึง ซึ่งก็คงไม่อาจประมาททางฝั่ง เบติส ได้ เมื่อพวกเขากำลังยืนสูงที่อันดับ 5 ลา ลีกา และมีนักเตะตัวอันตรายอยู่พอสมควร ไม่ว่าจะ นาบิล เฟคีร์, อโยเซ่ เปเรซ, วิลเลี่ยน โชเซ่, วิลเลี่ยม คาร์วัลโญ่ หรือนายประตูที่คุ้นหน้ากันดีอย่าง เคลาดิโอ บราโว่
และอย่างที่บอก การโรมรันในถ้วย ยูโรปา ยังต้องสู้กันอีกยาวไกล เมื่อมีรอบ 16 ทีมสุดท้าย 2 นัดเหย้าเยือนรออยู่ แล้วจึงตามด้วยรอบ 8 ทีม, ตัดเชือก และนัดชิงชนะเลิศ รวมแล้วยังต้องฝ่าสมรภูมิเสือสิงห์กระทิงแรด (ผ่านรอบนี้ได้ รอบถัดๆ ไปอาจได้คู่แข่งเป็น ยูเวนตุส, โรม่า, เซบีย่า หรือ อาร์เซน่อล) อีกถึง 7 นัดด้วยกัน ว่าจะถึงฝั่งฝัน
ดังนั้น ค่อนข้างชัดว่าถ้วยนี้ ไม่ง่ายเอาเลย หรือกระทั่งไม่อาจตั้งความหวังอะไรได้มากนัก
และคงต้องลุ้นกันรอบต่อรอบ เกมต่อเกม ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะไปได้ถึงตรงไหน
พรีเมียร์ลีก
ยูโรปา ว่ายากแล้ว พรีเมียร์ลีก นี่ต่างหากที่ยากกว่ากันเยอะ
เพราะใช่อยู่ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นดีมีมาตรฐาน ไว้วางใจได้โดยเฉพาะเกมในบ้าน แต่โปรแกรมที่เหลืออยู่ของ 3 เดือนสุดท้าย ก็ต้องยอมรับว่าโหดหินใช่ย่อย และพวกเขามีสิทธิ์เสียแต้มในเกมเหล่านี้ได้ทุกนัด
เริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์นี้ 5 มีนาคม เยือน ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์
ต้นเดือนหน้า 2 เมษายน นัดแก้มือกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่เซนต์ เจมส์ พาร์ค
22 เมษายน รับมือ เชลซี ในบ้าน
5 วันให้หลัง หรือ 27 เมษายน ลงใต้ไปเยือน ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์
ส่วน 5 นัดสุดท้าย แม้ต้องเจอทีมรองบ่อนเป็นส่วนใหญ่ ไล่จาก แอสตัน วิลล่า, เวสต์แฮม, วูล์ฟแฮมป์ตัน, บอร์นมัธ ก่อนปิดจบกับ ฟูแล่ม แต่ใครจะรู้อนาคต ใครจะรู้ว่าถึงตรงนั้น ระยะห่างของแต้มจะถูกทำให้ "ขาด" ไปแล้วหรือยัง
และที่สำคัญกว่าผลงานของตัวเอง ก็คือปัจจัยที่ "ไม่สามารถควบคุมได้" อย่างผลการแข่งขันของ 2 ทีมนำ ทั้งจ่าฝูง อาร์เซน่อล และแชมป์เก่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้
เพราะในขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด มีมาตรฐานของตัว ทั้งปืนใหญ่และเรือใบสีฟ้า ก็มีมาตรฐานสูงๆ เป็นของตัวเองเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่ยืนระยะนำมาได้จนป่านนี้
อาร์เซน่อล อาจมีช่วงแผ่ว เสมอ 1 แพ้ 2 เมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ แต่ก็ดูว่าพวกเขาเริ่มฟื้นแล้ว เด้งตัวกลับมาชนะใน 2 เกมหลัง เหนือ แอสตัน วิลล่า 4-2 และ เลสเตอร์ 1-0
แมนฯ ซิตี้ อาจหลุดแพ้ง่ายกว่าปีก่อนๆ หรือเสมอในเกมน่าชนะ (1-1 วิลล่า, 1-1 เอฟเวอร์ตัน, 1-1 ฟอเรสต์) แต่พลังพลุ่งพล่านของคู่ขาผู้ร้อนแรง เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาแลนด์ - เควิน เดอ บรอยน์ ก็พร้อมเล่นงานทุกคู่แข่งอยู่เสมอ
ณ ตอนนี้ อาร์เซน่อล มี 57 แต้ม (24 นัด)
แมนฯ ซิตี้ มี 55 แต้ม (25 นัด)
และ แมนฯ ยูไนเต็ด มี 49 แต้ม (24 นัด)
นั่นคือระยะห่างที่ยังมีอยู่พอตัว ผีแดงตามปืนใหญ่ 8 ตามเรือใบ 6 คะแนน
ในทางทฤษฎียังพอเป็นไปได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ใครก็มองออกง่ายๆ ว่าเปอร์เซ็นต์ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะทะลุแซงหน้าอีก 2 คู่แข่งขึ้นไปนั้น
ยากมากถึงยากที่สุด
สรุป
มอง ณ ตรงนี้ โอกาสเป็นไปได้มากสุดคือ เอฟเอ คัพ
รองลงมาคือ ยูโรปา ลีก และท้ายสุดคือ พรีเมียร์ลีก
เพียงแต่ว่าก็ยังมีสถิติน่าสนใจ เป็นทฤษฎีสมคบคิดสำหรับแฟนๆ ปีศาจแดงอยู่ว่า ในตลอด 1 ทศวรรษหลัง ทีมเจ้าของแชมป์ ลีก คัพ (คาราบาว คัพ นั่นแหละ) จะสามารถต่อยอดไปเป็นแชมป์อะไรสักอย่างได้ในซีซั่นเดียวกันนั้น ถึง 7 ปี 7 ซีซั่นด้วยกัน
2013 สวอนซี ซิตี้ >> ไม่มีแชมป์เพิ่มเติม
2014 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ >> แชมป์พรีเมียร์ลีก
2015 เชลซี >> แชมป์พรีเมียร์ลีก
2016 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ >> ไม่มีแชมป์เพิ่มเติม
2017 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด >> แชมป์ยูโรปา ลีก
2018 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ >> แชมป์พรีเมียร์ลีก
2019 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ >> แชมป์พรีเมียร์ลีก และแชมป์เอฟเอ คัพ
2020 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ >> ไม่มีแชมป์เพิ่มเติม
2021 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ >> แชมป์พรีเมียร์ลีก
2022 ลิเวอร์พูล >> แชมป์เอฟเอ คัพ
ถ้ายึดโยงตามสถิติความเป็นมานี้ เท่ากับ แมนฯ ยูไนเต็ด จะมีโอกาสถึง 70 เปอร์เซ็นต์ในการทำ "ดับเบิ้ลแชมป์" เป็นอย่างน้อย
รวมถึงว่า ก็ยังมีโอกาสทำได้มากกว่า 2 แชมป์ด้วย เมื่อดูตัวอย่างจาก แมนฯ ซิตี้ 2019/20 ที่หลังจากผงาดแชมป์ คาราบาว คัพ แล้ว ก็สร้างปรากฏการณ์เหมาหมดทั้ง เอฟเอ คัพ และ พรีเมียร์ลีก แบบที่ต้องนับว่าซีซั่นนั้นเป็น 4 แชมป์ด้วยซ้ำถ้าเหมารวม คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ก่อนเปิดฤดู
แต่อย่างไรก็ตาม มองกันอย่างแฟร์ๆ ก็ไม่มีการันตีใดทั้งสิ้นว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะได้มากกว่า 1 โทรฟี่ในปีนี้ โอกาสจะวืดทุกแชมป์หลังจากนี้ และจบซีซั่นลงด้วยการเป็นแชมป์ คาราบาว คัพ ถ้วยเดียวโดดๆ ก็ยังมีอยู่
มีถ้วยแล้ว 1 จะมีเพิ่มเป็น 2 ยังดูเป็นไปได้ แต่จะหวังให้มีสัก 3 หรือ 4 ก็คงต้องเผื่อใจไว้หน่อย
แต่เหนืออื่นใด พุธนี้ ผ่าน เวสต์แฮม ให้ได้ก่อนแล้วกัน!
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด