6 เหตุผลที่ ลิเวอร์พูล ไม่ต้องซื้อกองกลางในตลาดซัมเมอร์ - OPINION
โดย ชยพล ธานีวัฒน์
หลังการคว้า 3 ดาวรุ่งอย่าง ฟาบิโอ คาร์วัลโญ, ดาร์วิน นูนเญซ และ คาลวิน แรมซีย์ มาร่วมทีมได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ดูเหมือนว่าแฟนบอล ลิเวอร์พูล จะยังรู้สึกไม่ค่อยเชื่อมั่นเท่าไหร่ว่าทีมจะยังอยู่ในระดับเดิมที่ลุ้น 4 แชมป์เหมือนเมื่อฤดูกาลก่อนได้ นั่นเป็นเพราะในแผงมิดฟิลด์ยังไม่มีนักเตะใหม่เข้ามาเสริมทัพแต่อย่างใด
เสียงเรียกร้องให้หากองกลางดี ๆ ซักคนเข้ามาเพิ่มเติมเพื่อต่อกรกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในการแย่งแชมป์ พรีเมียร์ลีก กลับคืนมาดังขึ้นเป็นระยะ ตัวเลือกต่าง ๆ ถูกโยงเข้ามาอย่างไม่ขาดสายไม่ว่าจะเป็นนักเตะเก่าอย่าง จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม หรือ นิโคโล บาร์เรลลา ห้องเครื่องชั้นดีของ อินเตอร์ มิลาน แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวจาก เยอร์เก้น คล็อปป์ และทีมงาน
มีแนวโน้มสูงมากที่นายใหญ่ชาวเยอรมันจะยังคงใช้นักเตะชุดเดิมที่มีอยู่ในมือ โดยมี 3 แข้งหลัก จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ และ ติอาโก้ อัลคันทารา บวกกับแบ็คอัพอย่าง นาบี เกอิต้า, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, เคอร์ติส โจนส์, ฮาร์วีย์ เอลเลียต, ไทเลอร์ มอร์ตั้น และ เจมส์ มิลเนอร์ คอยสลับสับเปลี่ยนตามแต่สถานการณ์เหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
แฟนบอลอาจจะมีคำถามว่า แค่นี้จะพอจริงหรือ แต่เชื่อว่า คล็อปป์ ก็อาจจะคำตอบให้แล้วว่าทำไม ลิเวอร์พูล จึงไม่ต้องการกองกลางเพิ่มเติมในตลาดซื้อขายรอบนี้
1. ทีเด็ดจาก ฟาบิโอ คาร์วัลโญ
คาร์วัลโญ คือนักเตะดาวรุ่งที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ หมายจะเซ็นสัญญามาร่วมทีมตั้งแต่เมื่อเดือนมกราคม แต่ด้วยข้อติดขัดเรื่องเอกสารจึงทำให้ต้องพลาดไป ก่อนจะมาตกลงกันใหม่หลังจากนั้นอีกไม่กี่เดือนต่อมา
หลายคนมองว่า นี่คือตัวแทนของ ฟิลิปเป้ คูตินโญ หรือนักเตะหมายเลข 10 ที่ ลิเวอร์พูล ตามหามานาน แต่ว่ากันว่าทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ชต้องการจับเขามาเล่นในตำแหน่งกองกลางเพื่อเติมเต็มในระบบ 4-3-3 ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมากกว่า
10 ประตูกับ 8 แอสซิสต์ที่ทำให้กับ ฟูแลม ในเดอะแชมเปี้ยนชิพ จนสามารถพาทีมคว้าแชมป์และเลื่อนชั้นกลับมาเล่นใน พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จนั้นเป็นสิ่งที่การันตีได้ว่าเราจะได้เห็นดาวเตะเลือดโปรตุกีสรายนี้ได้มีโอกาสลงสนามในทีมชุดใหญ่ของ ลิเวอร์พูล อย่างแน่นอน ซึ่งอาจไม่ใช่ในฐานะเพลย์เมคเกอร์หมายเลข 10 ด้วย
2. ได้เวลา โจนส์-เอลเลียต
แฟนบอลมักจะลืมไปว่า เคอร์ติส โจนส์ อายุเพียงแค่ 21 ปีในขณะที่ เอลเลียต เพิ่งจะ 19 เท่านั้น ซึ่งทั้งคู่ยังมีอนาคตที่สดใสรออยู่ในฤดูกาลหน้า
จริง ๆ แล้วดาวรุ่งทั้งสองรายถูกวางตัวเอาไว้เป็นแบ็คอัพพวกพี่ ๆ มาตั้งแต่ซีซันก่อน เพื่อเป็นการปูทางให้พวกเขาก้าวขึ้นสู่การเป็น 11 ตัวจริงในอนาคต แถมยังเป็นตัวเลือกก่อน แชมเบอร์เลน ด้วยซ้ำ หากแต่ด้วยอาการบาดเจ็บทำให้ไม่ได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมออย่างที่ควรจะเป็น
เด็กทั้ง 2 คนจึงไม่ได้โชว์ของที่มีอยู่ในตัวซักเท่าไหร่ แต่การที่ไม่มีมิดฟิลด์คนใหม่เดินเข้ามาสู่ถิ่น แอนฟิลด์ น่าจะทำให้พวกเขากลับมามีโอกาสพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง และเราจะได้เห็นทั้งคู่ลงสนามมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน
3. โอกาสสุดท้ายของ ดิอ็อกซ์
น่าเซอร์ไพรส์อยู่เหมือนกันที่ อ็อกซ์เลด จะได้รับโอกาสอีกครั้งในฤดูกาลหน้าซึ่งเป็นปีสุดท้ายในสัญญาฉบับปัจจุบันของเขา หลังจากที่มีการประกาศออกมาว่าจะไม่มีการเลหลังออกจากทีมในตลาดซัมเมอร์
เหตุผลหนึ่งที่ คล็อปป์ เลือกเก็บแข้งวัย 29 ปีเอาไว้เนื่องจากการพลาดการคว้าตัว ชูอาเมนี ไปให้กับ เรอัล มาดริด พร้อมกับโปรเจ็คที่จะดึง จู้ด เบลลิงแฮม มาเสริมทัพในฤดูกาลหน้า ทำให้โอกาสยังคงเป็นของแข้งชาวผู้ดีรายนี้
แม้ว่าเมื่อซีซันกอ่น ดิอ็อกซ์ จะไม่ได้ลงเล่นอีกเลยนับตั้งแต่เกมที่เอาชนะ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ในเอฟเอคัพ เมื่อเดือนมีนาคม แต่เขาก็ยังมีผลงานในช่วงต้นดูกาลที่เข้าตาอยู่บ้าง โดยเฉพาะในเดือนมกราคมเมื่อตอนที่ทีมไม่มี นาบี เกอิต้า, โม ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน ที่ไปเล่นฟุตบอล แอฟฟริกา คัพ ออฟ เนชันส์
ผลงานตรงนี้เพียงพอที่จะทำให้ คล็อปป์ ต้องการเก็บ อ็อกซ์เลด เอาไว้ และให้โอกาสเขาอีก 1 ฤดูกาล ซึ่งก็ต้องลุ้นว่าเจ้าตัวจะทำได้หรือไม่
4. จู้ด เบลลิงแฮม โปรเจ็คแห่งอนาคต
ลิเวอร์พูล มีประสบการณ์ในการเฝ้ารอนักเตะที่พวกเขาต้องการอย่างจริงจังมาแล้วไม่ว่าจะเป็นในรายของ เวอร์จิล ฟาน ไดค์, อลิสซอน เบ็คเกอร์ และ อิบราฮิมา โคนาเต้ และรายต่อไปมีสิทธิ์ที่จะเป็น จู้ด เบลลิงแฮม กองกลางดาวรุ่งพุ่งแรงของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
ทีมเสือเหลืองยังไม่พร้อมที่จะปล่อยแข้งคนสำคัญของพวกเขาออกจากทีมในซัมเมอร์นี้ หลังจากที่เสีย เออร์ลิง ฮาแลนด์ ให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ดังนั้น หงส์แดง จึงต้องรออีก 1 ซีซัน แต่ถ้าทนไม่ไหวอยากได้ตอนนี้พวกเขาก็ต้องหาเงินมาจ่ายในระดับ 100 ล้านปอนด์ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องถนัดของ ลิเวอร์พูล
คล็อปป์ วางแผนเอาไว้เรียบร้อยในการเซ็นสัญญากับ เบลลิงแฮม ในซัมเมอร์หน้า โดยเชื่อว่านักเตะรายนี้คือทายาทที่จะเข้ามาสืบทอดตำแหน่งกองกลางของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่กำลังโรยรา ด้วยอายุอานามแค่ 19 ปีและสไตล์การเล่นที่เข้ากับแท็คติกของนายใหญ่ชาวเยอรมัน นี่จึงเป็นโปรเจ็คแห่งอนาคตที่พวกเขาเต็มใจจะรอ
5. ระบบการเล่นที่เปลี่ยนไป
การได้ ดาร์วิน นูนเญซ เข้ามาเสริมทัพ ทำให้มีการพูดถึงการกลับไปใช้ระบบ 4-2-3-1 เหมือนเมื่อตอนที่ คล็อปป์ เข้ามาคุมทีมใหม่ ๆ และนั่นอาจจะทำให้เหลือมิดฟิลด์ในสนามเพียง 2 รายเท่านั้น
ระบบนี้นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อแข้งชาวอุรุกวัยแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ ที่คุ้นเคยแผนการเล่นแบบนี้เป็นอย่างดีเมื่อตอนที่เล่นให้กับ ฟูแลม และมีโอกาสที่จะลงประสานงานกับ โม ซาลาห์ และ หลุยส์ ดิอาซ ในแผงเกมรุก 3 คนหลังกองหน้าตัวเป้าด้วย
แถม เคอร์ติส โจนส์ และ ฮาร์วีย์ เอลเลียต ก็อาจจะได้ลงเล่นในเกมรุกตามที่ตัวเองถนัดมากกว่าเดิม ในขณะที่ตรงกลางโควต้าจะเหลือแค่ 2 ที่นั่ง ซึ่งตัวเลือกที่มีอยู่ถือว่าเหลือเฟือ ไม่จำเป็นต้องหาใครเพิ่มแต่อย่างใด
6. เซอร์ไพรส์จาก คาลวิน แรมซีย์
การได้ตัว คาลวิน แรมซีย์ เข้ามาร่วมทีมอาจมองเผิน ๆ ว่านี่คือแบ็คอัพของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ หากเต่เจ้าหนูชาวสก็อตต์รายนี้ไม่ได้มีดีแค่แบ็คขวาเท่านั้น
จากบทสัมภาษณ์ตอนเปิดตัวกับ ลิเวอร์พูล ดาวรุ่งวัย 18 ปีแอบเกริ่นเอาไว้ได้น่าสนใจว่า จริง ๆ แล้วเขาก็สามารถเล่นได้หลายตำแหน่งเหมือนกัน ไม่ใช่แค่การเป็นฟูลแบ็คเพียงอย่างเดียว
“ผมสามารถเล่นได้หลายตำแหน่ง ผมคิดว่าตัวเองค่อนข้างจะครองบอลได้ดี หาช่องในการผ่านบอลได้ และยังยิงไกลได้ด้วย ผมสามารถเล่นเป็นเซ็นเตอร์มิดฟิลด์, แบ็คขวา และ ปีกขวา หรือตรงไหนก็ได้” แรมซีย์ ระบุไว้
ไม่แน่ว่าเหตุผลของการดึงนักเตะดีกรีดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ สก็อตติช พรีเมียร์ลีก มาร่วมทีม อาจจะมีมากกว่าการเล่นในตำแหน่งเกมรับก็ได้
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด