[OPINION] 5 แข้งระดับตำนานที่ล้มเหลวกับการกลับมาคุมทีมเก่า
โดย ชยพล ธานีวัฒน์
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาข่าวการปลด แฟรงค์ แลมพาร์ด ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม เชลซี สโมสรยักษ์ใหญ่ในศึก พรีเมียร์ลีก คงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเมือดูจากผลงานที่เจ้าตัวทำไว้ด้วยการแพ้ 5 จาก 8 เกมหลังสุดและตกลงไปอยู่กลางตารางเป็นที่เรียบร้อย
การเป็นตำนานนักเตะของทีม สิงห์บลู ไม่ได้ช่วยให้เก้าอี้ของ “ซูเปอร์แฟรงค์” มั่นคงปลอดภัยแต่อย่างใด เพราะอารมณ์ของการเป็นผู้จัดการทีมกับสมัยเป็นนักเตะนั้นมันต่างกันลิบลับ
อย่างไรก็ดี แลมพาร์ด ไม่ใช่อดีตนักเตะคนแรกที่กลับมายังสโมสรเดิมของตนพร้อมด้วยความหวัง แต่ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างกลับล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า
นี่คือ 5 อดีตนักเตะที่ไปไม่รอดกับการกลับมาคุมทีมเก่า
1. แกรม ซูเนสส์ - ลิเวอร์พูล
สมัยยังค้าแข้งในถิ่น แอนฟิลด์ ซูเนสส์ ได้รับการยกย่องจากแฟนบอลให้มิดฟิลด์ที่ดีที่สุดในตอนนั้น หลังจากที่ช่วยพาทีมสร้างความยิ่งใหญ่คว้าแชมป์ลีก 5 สมัยพร้อมด้วย 3 ยูโรเปี้ยนคัพ ก่อนที่จะอำลาทีมไปแล้วกลับมาอีกครั้งในฐานะของผู้จัดการทีมเมื่อปี 1991
แต่การกลับมาในฐานะของกุนซือไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด ผู้จัดการทีมชาวสก็อตเข้ามาทำลาย “บูทรูม” อันโด่งดังของ ลิเวอร์พูล พร้อมด้วยการเซ็นสัญญากับนักเตะบางคนที่ไม่สมควรใส่เสื้อสีแดงเพลิง พร้อมกับเปลี่ยนสไตล์การเล่นจากยุคเครื่องจักรสีแดงกลายเป็นทีมที่ไร้จินตนาการและไร้ซึ่งความสำเร็จ
ซูเนสส์ โดนไล่ออกในอีก 3 ปีต่อมาพร้อมกับสถิติพาทีมแพ้ไป 45 นัดและทำได้แค่คว้าแชมป์ เอฟเอคัพ ครั้งเดียวเท่านั้น
2. อลัน เชียร์เรอร์ - นิวคาสเซิล
“ฮ็อตช็อต” คือตำนานดาวยิงของทีมชาติอังกฤษและเคยคว้าแชมปื พรีเมียร์ลีก กับสโมสร แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส เมื่อซีซัน 1994-1995 ก่อนที่เขาจะย้ายกลับบ้านเกิดเพื่อต่อเติมความฝันด้วยการลงเล่นให้ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
การคืนสู่เหย้าของ เชียร์เรอร์ ยังคงสร้างความประทับใจให้แฟนบอลด้วยการยิงไป 206 ประตูในทุกรายการก่อนจะแขวนสตั๊ดไปในปี 2006 และจากนั้นเขาก็กลับเข้ามารับงานคุมทีมชั่วคราวเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2009 ในสถานการณ์ที่ เดอะแม็กพาย กำลังจะตกชั้นอยู่มะรอมมะร่อ
แน่นอนว่าระยะเวลาที่เหลืออีกเพียงเดือนกว่า ๆ ก่อนปิดซีซันนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้ เชียร์เรอร์ ช่วยทีมให้รอดพ้นจากการลงไปเล่นใน เดอะแชมเปี้ยนชิพ ได้จากคุมทีม 8 นัด ชนะ 1 เสมอ 2 และแพ้ 5 และจนป่านนี้เจ้าตัวก็ไม่คิดจะรับงานที่ไหนอีกเลย
3. ฟิลิปโป้ อินซากี้ - เอซี มิลาน
ปิปโป้ แจ้งเกิดบนเวที เซเรีย อา กับ ยูเวนตุส ก่อนจะโยกมาค้าแข้งกับ เอซี มิลาน และที่นี่ทำให้เขากลายเป็นดาวดังของลีกตลอดช่วงต้นปี 2000 ก่อนที่เจ้าตัวจะแขวนสตั๊ดไปในปี 2012
อย่างไรก็ตาม อินซากี้ ก็ยังวนเวียนอยู่กับทีม ปีศาจแดงดำ โดยรับงานคุมทีมชุดเยาวชนก่อนจะถูกดึงขึ้นมากู้วิกฤติของทีมชุดใหญ่ในปี 2014 ซึ่งมันยิ่งวิกฤติหนักเข้าไปอีก เพราะเขากลายเป็นกุนซือคนแรกในรอบ 30 ปีที่พาทีมทำผลงานได้ย่ำแย่ที่สุดจากการจบอันดับ 10 ของตาราง ก่อนจะแยกทางกับอดีตต้นสังกัดอย่างเจ็บช้ำในช่วงซัมเมอร์
4. ซานติอาโก้ โซลารี - เรอัล มาดริด
โซลารี ถือเป็นหนึ่งในนักเตะที่ประสบความสำเร็จในการค้าแข้งในถิ่น ซาติอาโก้ เบอร์นาเบว โดยคว้าแชมป์ ลาลีก้า 2 ครั้งและเป็นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีก 1 สมัย ในช่วง 5 ปีที่อยู่กับทีม ก่อนที่จะไปเรียนด้านโค้ชและกลับมาคุมทีมสำรองให้กับ มาดริด
แล้วส้มก็หล่นใส่อดีตกองหลังชาวอาร์เจนไตน์อย่างจังในเดือนพฤศจิกายนปี 2018 เมื่อบอร์ดบริหารจัดการไล่ ฆูเลน โลเปเตกี ออกจากตำแหน่งแม้ว่าจะเพิ่งเข้ามารับงานได้ไม่กี่เดือนและมอบตำแหน่งเทรนเนอร์อย่างเป็นทางการให้กับ โซลารี พร้อมด้วยสัญญายาว 3 ปี
อย่างไรก็ตามเจ้าตัวก็ต้องโดนไล่ออกในอีก 4 เดือนต่อมาหลังจากที่พา ราชันชุดขาว ทำผลงานออกทะเลทั้งใน ลาลีก้า และ โกปา เดล เรย์ โดยฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ต้องเก็บของออกจาก เบอร์นาเบว คือการเปิดบ้านพ่าย อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในศึก ยูฟา แชมเปี้ยนสืลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ถือเป็นการหยุดเส้นทางการป้องกันแชมป์พร้อมกับหยุดอนาคตของกุนซือมือใหม่เอาไว้เพียงเท่านี้
5. แฟรงค์ แลมพาร์ด - เชลซี
“ซูเปอร์แฟรงค์” คือนักเตะที่ยิงประตูได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ เชลซี และเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยพาทีมประสบความสำเร็จตลอด 13 ปีที่อยู่กับทีม โดยเจ้าตัวกลับมารับใช้สโมสรอีกครั้งด้วยการถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมเมื่อปี 2019 หลังจากทำผลงานได้อย่างโดดเด่นกับ ดาร์บี้ เค้าท์ตี้ ใน เดอะแชมเปี้ยนชิพ
แลมพาร์ด ต้องพบกับความยากลำบากในซีซันแรกของตัวเองเพราะเขาไม่สามารถซื้อนักเตะมาเสริมทัพได้จากการโดนโทษแบน แต่สุดท้ายแล้วก็ยังพาทีมคว้าอันดับ 4 ไปเล่น ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จด้วยการดันดาวรุ่งขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่กว่าครึ่งทีม
ในซีซันล่าสุดแม้ว่า เสี่ยหมี จะทุ่มงบกว่า 200 ล้านปอนด์ ดึงทั้ง ติโม แวร์เนอร์, ไค ฮาเวิร์ทซ์, ฮาคิม ซิเย็ค และ เบน ชิลเวลล์ มาเสริมทัพให้ แต่กลายเป็นว่าผลงานกลับแย่กว่าเดิม โดยใน 8 นัดหลังสุดเขาพาทีมพ่ายไปถึง 5 เกม ทำให้ร่วงลงไปอยู่อันดับ 8 ของตาราง และท้ายที่สุดก็ไปไม่รอดโดนปลดไปเมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด