[OPINION] อนาคตที่ไม่สามารถการันตี ของดาวดวงใหม่ เชลซี ที่กำลังรอเวลาเฉิดฉาย “บิลลี กิลมอร์”
ก่อนช่วงเวลาอันเลวร้ายที่ไวรัสโคโรนาจะระบาดอย่างหนักและส่งผลกระทบไปทั่วโลกจนทำให้ทุกอย่างต้องหยุดชะงักลง ไม่เว้นแม้แต่วงการฟุตบอลนั้น พรีเมียร์ลีกอังกฤษ เองกำลังอยู่ในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายของหลาย ๆ ทีม แม้ว่าแชมป์ในปีนี้คาดว่าน่าจะตกเป็นของ ลิเวอร์พูล เกือบจะแน่นอนแล้วก็ตาม
เชลซี เองก็เป็นอีกหนึ่งทีมที่ยังมีส่วนได้ส่วนเสียกับอีก 9 นัดที่ยังตกค้างอยู่ เพราะพวกเขากำลังอยู่ระหว่างการช่วงชิงโควต้าใบสุดท้ายในการไปเล่นในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาลหน้า และถึงแม้ว่าพวกเขาจะรั้งอยู่ในอันดับที่ 4 แต่ต้องบอกว่าสถานการณ์ยังไม่แน่นอนเลยแม้แต่น้อยสำหรับ สิงห์บลู เพราะแต้มของทีมอันดับที่ 4 ถึง 9 ยังค่อนข้างสูสีและพร้อมจะมีการเปลี่ยนแปลงอันดับบนตารางได้ตลอดเวลา
ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์อยู่พอสมควรที่แม้ ทีมสิงโตน้ำเงินคราม จะประสบวิกฤติในช่วงต้นซีซั่นอย่างหนัก ทั้งการถูกแบนห้ามลงทะเบียนนักเตะใหม่ การจากไปของ เมาริซิโอ ซาร์รี และที่สำคัญคือการเลือกอำลาทีมไปของสตาร์อันดับหนึ่งของทีมอย่าง เอเดน อาซาร์ แต่ แฟรงค์ แลมพาร์ด กุนซือคนใหม่ กลับสามารถใช้งานทรัพยากรที่มีอยู่เดิมภายใต้เงื่อนไขที่ค่อนข้างจำกัด พาทีมมาได้ไกลถึงเพียงนี้ แถมสภาพทีมยังดูมีทรง มีอนาคตอยู่พอสมควรอีกด้วย ซึ่งหนึ่งในแนวทางหลักที่ผู้จัดการทีมระดับตำนานสโมสรคนนี้เลือกใช้ นั่นคือการเฟ้นหาดาวรุ่งฝีเท้าดีภายในทีม ขึ้นมาผสมผสานกับผู้เล่นชุดใหญ่ที่มีอยู่ และอย่างที่ทราบกันว่ามันค่อนข้างได้ผลเป็นที่น่าพอใจเลยทีเดียวตลอดช่วงฤดูกาลที่ผ่านมา
ในบรรดาดาวรุ่งของ สิงห์บลู มีหลายคนที่สามารถเปล่งประกายและแจ้งเกิดได้สำเร็จในซีซั่นนี้ ทั้ง เมสัน เมานท์ แทมมี อับราฮัม รีซ เจมส์ คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย รวมถึง บิลลี กิลมอร์ ที่กำลังได้โอกาสฉายแววต่อหน้าสาธารณชนอย่างเต็มที่ แต่น่าเสียดายที่ต้องมาถูกขัดจังหวะสะกัดดาวรุ่งโดยวิกฤติ COVID-19 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยกองกลางชาวสกอตแลนด์วัยเพียง 18 ปี พึ่งจะได้โอกาสลงมาแสดงศักยภาพให้ชาวโลกเห็นแบบเต็ม ๆ ตาเพียง 2 นัดเท่านั้น คือเกมที่ เชลซี เปิดบ้านเอาชนะ ลิเวอร์พูล 2-0 ในรายการ เอฟเอ คัพ และเกม พรีเมียร์ลีก ที่พวกเขาไล่ถล่ม เอฟเวอร์ตัน ขาดลอย 4-0 เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาพร้อมคว้ารางวัล แมน ออฟ เดอะแมทช์ มาครองได้ทั้ง 2 นัดด้วยกันก่อนที่การแข่งขันจะถูกระงับไปหลังจากนั้น
อันที่จริงแล้วทั้งสองแมทช์ดังกล่าวไม่ใช่เกมแรกที่ กิลมอร์ ได้โอกาสลงสนามกับทีมชุดใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้เจ้าตัวเคยได้รับโอกาสมาบ้างแล้วในเกมลีกที่ได้ลงมาเป็นตัวสำรองเพียงไม่กี่นาที และในศึก คาราบาว คัพ ที่สุดท้ายพวกเขาก็ตกรอบจากการพ่ายให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปเมื่อเดือนตุลาคมปีก่อน จนกระทั่งเดือนมีนาคมที่ผ่านมาก่อนจะมีการพักเบรก ที่ แลมพาร์ด เลือกจะไว้ใจให้เขาลงมายืนในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับแทนที่ จอร์จินโญ และหนุ่มน้อยรายนี้ก็สามารถตอบแทนความไว้ใจนั้นได้ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมไร้ที่ติจนเกิดเป็นกระแสขึ้นมา ด้วยความนิ่งเกินวัย บวกกับการออกบอลที่ค่อนข้างแน่นอนและแม่นยำ นั่นจึงทำให้เด็กหนุ่มเลือดสกอตต์รายนี้ถูกคาดหวังว่าจะเป็นรายต่อไปที่มีโอกาสก้าวขึ้นมาแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวเหมือนกับดาวรุ่งรายอื่น ๆ ภายใต้การคุมทีมของ ซุเปอร์แฟรงค์
บิลลี กิลมอร์ หนุ่มน้อยจากเมือง กลาสโกว ประเทศสกอตแลนด์ เริ่มต้นชีวิตการค้าแข้งด้วยการเป็นเด็กฝึกหัดในอคาเดมีของสโมสร กลาสโกว เรนเจอร์ส ซึ่งที่นั่นเจ้าตัวสามารถพัฒนาฝีเท้าได้อย่างรวดเร็วกว่าเด็กคนอื่น ๆ ในขณะที่เขาอายุได้เพียง 15 ปีกลับถูกเรียกให้ขึ้นไปเล่นทีมชุด ยู-20 แถมยังได้โอกาสเข้าไปฝึกซ้อมร่วมกับทีมชุดใหญ่ตั้งแต่นั้นอีกด้วย จนถูกหมายมั่นว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักในอนาคตของทีมยักษ์ใหญ่แดนสกอตต์แห่งนี้ต่อไป
กระทั่งปี 2017 กิลมอร์ ถูก เชลซี ดึงตัวไปร่วมทีมในขณะที่อายุได้เพียง 16 ปี ด้วยค่าตัวราว 5 แสนปอนด์ ซึ่งปีแรกเจ้าตัวก็สามารถคว้าแชมป์ ยู-18 ลีก กับสิงห์บลูได้สำเร็จ และด้วยฟอร์มที่ไม่ธรรมดากับทีมเยาวชน ทำให้ในที่สุดเขาก็ได้รับสัญญาอาชีพฉบับแรกกับทีมในปี 2018
และในยุคของ แฟรงค์ แลมพาร์ด นี้เอง ที่เจ้าตัวถูกเรียกขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่และได้ประเดินสนามบนเวที พรีเมียร์ลีก เป็นเกมแรกในที่สุดด้วยการลงมาเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 84 นัดที่ สิงโตน้ำเงินคราม เปิดบ้านเสมอกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2-2 ช่วงต้นซีซั่น และเล่นอยู่กับทีมชุดใหญ่จนกระทั่งสามารถสร้างชื่ออย่างเต็มตัวเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานั่นเอง แต่ทว่า...
สถานการณ์ของโลกเหมือนกับว่า จะไม่ค่อยเป็นใจให้เขาได้เฉิดฉายเท่าใดนัก ทั้งที่ฟอร์มกำลังร้อนแรง แต่ต้องมาหยุดพักยาวจนไฟที่กำลังลุกโชนอาจมอดดับลงไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับ “โปรเจค รีสตาร์ท” ที่จะให้ทุกทีมกลับมาลงฟาดแข้งอีกครั้ง คาดว่าจะเป็นภายในเดือนมิถุนายนนี้ พลพรรคสิงห์ไฮโซ เองจะได้กองกลางตัวหลักทั้งหมดหายเจ็บกลับมาลงสนามได้อีกครั้งหลักจากได้หยุดพักยาว และนั่นอาจทำให้โอกาสของ กิลมอร์ ได้ลงมาพิสูจน์ฝีเท้าลดน้อยลงไป ไม่เพียงแค่นั้น ช่วงซัมเมอร์ที่จะถึงทีมยังมีข่าวพัวพันกับกองกลางรายอื่น ๆ หลายรายเช่น ดีแคลน ไรซ์ จาก เวสต์แฮม หรือแม้แต่ ออร์คุน ก็อกคู ของ เฟเยนูร์ด ปัจจัยทั้งหมดนี้แม้จะเป็นผลดีกับทีมในภาพรวม แต่ล้วนแล้วส่งผลกระทบถึงโอกาสในการแจ้งเกิดกับทีมของหนุ่มน้อยวัย 18 ปี รายนี้ทั้งสิ้น
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้อนาคตของ บิลลี กิลมอร์ กับ เชลซี ยังคงไม่มีความแน่นอนและชัดเจนมากนักเมื่อเทียบกับดาวรุ่งรายอื่น ๆ ที่แจ้งเกิดไปก่อนหน้านี้ ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวเอง ว่าจะสามารถพัฒนาฝีเท้าและถีบตัวเองให้ข้ามพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ดังที่กล่าวไป พร้อมกับก้าวขึ้นมาเฉิดฉายอย่างเต็มตัวได้หรือไม่.. หรือท้ายที่สุดอนาคตของเขาจะลงเอยด้วยการต้องจำใจย้ายทีมเหมือนดาวรุ่งอีกหลาย ๆ คน นี่คือสิ่งที่ตัวเขาจะต้องลิขิตด้วยตัวเองเท่านั้น !
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น!*ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด