ไมเคิล โอเวน: ตามรอย 1 ในท็อป 20 ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาล พรีเมียร์ลีก

Liverpool v Newcastle
Liverpool v Newcastle / Michael Steele/GettyImages
facebooktwitterreddit

หากเอ่ยถึงหัวหอกระดับท็อปของทีมชาติอังกฤษในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา เชื่อได้เลยว่าชื่อของ ไมเคิล โอเวน จะต้องเป็นหนึ่งในอันดับท็อปของลิสต์อย่างแน่นอน ด้วยจุดเด่นที่ความเร็วชนิดหาตัวจับยากพร้อมกับผลงานการจบสกอร์ที่เฉียบขาด ทำให้อดีตศูนย์หน้าของทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นอีกหนึ่งตำนานในวงการฟุตบอลอังกฤษสมัยใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย

วันนี้เราจึงอยากจะพาแฟน ๆ 90Min ย้อนกลับไปชมที่มาที่ไปของสุดยอดกองหน้าคนหนึ่งของยุคกับการเป็น 1ใน 20 ดาวซัลโวสูงสุดตลอดการของ พรีเมียร์ลีก อันดับที่ 11 ไมเคิล โอเวน...


โด่งดังตั้งแต่เด็ก

ไมเคิล เจมส์ โอเวน เกิดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 1979 ที่เมือง เชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เป็นลูกชายแท้ ๆ ของ เทอร์รี โอเวน อดีตนักฟุตบอลของ เอฟเวอร์ตัน นั่นจึงทำให้เขาได้รับพรสวรรค์ที่ส่งต่อมาจากพ่อของเขาตั้งแต่เด็ก ๆ เลยก็ว่าได้

สมัยที่ยังเล็กเขาเรียกได้ว่าเป็นดาวเด่นในเรื่องฟุตบอลของโรงเรียนมาโดยตลอด จนกระทั่งอายุ 12 ปีหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ต่างต้องการตัวดาวรุ่งอนาคตไกลร้ายนี้เข้าสู่ทีมเยาวชนทั้ง อาร์เซนอล เชลซี รวมถึง ลิเวอร์พูล โดย สตีฟ ไฮเวย์ สต๊าฟฟ์จากอคาเดมีของ หงส์แดง ณ เวลานั้นได้ส่งจดหมายถึง เทอร์รี โอเวน ผู้เป็นพ่อ เล่าถึงความประทับใจตั้งแต่แรกพบพร้อมกับการันตีว่าเขาจะทำให้ ไมเคิล ก้าวสู่การเป็นสุดยอดนักฟุตบอลอาชีพให้ได้ และนั่นทำให้ในที่สุดเป็น ลิเวอร์พูล ที่เบียดคู่แข่งคว้าตัวเด็กหนุ่มรายนี้เข้าสู่สังกัด

Michael Owen
Michael Owen / Gary M. Prior/GettyImages

เส้นทางกับ หงส์แดง

ช่วงปี 95-96 โอเวน ถูกดันขึ้นไปเล่นกับทีมชุดอายุไม่เกิน 18 ปีทั้งที่เจ้าตัวเพิ่งจะมีอายุเพียงแค่ 16 แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคเพราะเจ้าตัวระเบิดฟอร์มเก่งยิงประตูถล่มทลายพาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ ยูธ คัพ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ด้วยการเอาชนะ เวสต์แฮม ชุดดรีมคิดส์ที่มีแข้งดัง ๆ อย่าง ริโอ เฟอร์ดินานด์ และ แฟรงค์ แลมพาร์ด แถม โอเวน ยังได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์ไปครองในปีนั้นอีกต่างหาก และด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมนี้เองที่ทำให้ หงส์แดง ตัดสินใจจับเขาเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพอย่างเป็นทางการในที่สุด

ปีต่อมา โอเวน ถูก รอย อีแวนส์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ในขณะนั้น ดึงขึ้นมาเล่นให้ทีมชุดใหญ่ โดยในเดือนพฤษภาคมปี 1997 โอเวน ยิงประตูแรกของตัวเองกับ หงส์แดง ได้ในเกมประเดิมสนามกับ วิมเบลดัน ก่อนที่ทีมจะจบที่อันดับที่ 4 ในฤดูกาลนั้น

ซีซั่นถัดมาปี 97-98 โอเวน ในวัยเพียง 19 ปีกลายมาเป็นกำลังหลักในถิ่น แอนฟิลด์ และทำไปได้ถึง 23 ประตูกับ 14 แอสซิสต์รวมทุกรายการ พร้อมคว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุดมาครองได้สำเร็จ เช่นเดียวกับปี 98-99 ที่เจ้าตัวทำได้ 18 ประตูในลีก 23 ประตูรวมทุกรายการและรางวัลดาวซัลโวสูงสุดมานอนกอดได้ถึงสองฤดูกาลติดต่อกัน

Michael Owen
Michael Owen / Clive Brunskill/GettyImages

จุดสูงสุดในอาชีพการค้าแข้ง

แม้ในซีซั่นถัดมา 1999-00 เขาจะมีอาการบาดเจ็บเล่นงานทำให้โอกาสลงสนามไม่ต่อเนื่องนัก แต่ก็ยังทำไปได้ถึง 12 ลูก ก่อนที่ฤดูกาล 2000-01 จะเรียกว่าเป็นปีทองของหัวหอกรายนี้เลยก็ว่าได้ด้วยการพา หงส์แดง ภายใต้การคุมทีมของ เชราร์ อุลลิเยร์ คว้าทริปเบิลแชมป์ทั้ง คาร์ลิง คัพ เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า คัพ พร้อมผลงาน 24 ประตูรวมทุกรายการ ที่สำคัญที่สุดนั่นคือการที่ โอเวน เบียด ราอูล กอนซาเลซ คว้ารางวัล บัลลงดอร์ มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งนับเป็นนักเตะอังกฤษรายที่ 4 และเป็นรายล่าสุดที่เคยคว้ารางวัลเกียรติยศนี้ต่อจาก สแตนลีย์ แมทธิวส์ บ็อบบี้ ชาล์ตัน และ เควิน คีแกน

หลังจากนั้น โอเวน ยังคงฟอร์มเก่งยิงประตูถล่มทลายให้กับทีมได้อย่างต่อเนื่อง โดยฤดูกาล 01-02 ยิงไป 28 ประตูรวมทุกรายการ ปี 02-03 ก็ยังคงซัดได้รวม 28 ประตูเช่นกันพร้อมพาทีมคว้าแชมป์ คาร์ลิง คัพ และในปี 03-04 กดไปทั้งสิ้น 19 ประตู

FA Cup Final at the Millennium Stadium, Cardiff 2001
FA Cup Final at the Millennium Stadium, Cardiff 2001 / David Ashdown/GettyImages

ตัดสินใจผิดชีวิตเปลี่ยน

กระทั่งการแยกทางระหว่างสโมสรกับกุนซือชาวฝรั่งเศสในปี 2004 พร้อมกับการตัดสินใจย้ายไปมองหาความสำเร็จของ โอเวน ทำให้ในที่สุดเป็น เรอัล มาดริด ที่มีข่าวพัวพันกับเขามาตลอดช่วงหลายปี คว้าตัวไปร่วมทีมด้วยค่าตัวเพียง 8 ล้านปอนด์ แต่ก็อย่างที่ทราบกันดีว่ายุคนั้น ราชันชุดขาว เต็มไปด้วยเหล่าซุเปอร์สตาร์เกรดเอบวก โดยเฉพาะในตำแหน่งกองหน้าที่มียอดนักเตะอย่าง ราอูล และ โรนัลโด้ ประจำการอยู่ ทำให้ดาวยิงเลือดผู้ดีรายนี้มันจะตกเป็นตัวสำรองให้กับทีมอยู่บ่อยครั้งจนกระทั่งจบฤดูกาล 04-05 ทำไปได้ 13 ประตูใน ลาลีกา และจบซีซั่นแบบมือเปล่าในขณะที่ หงส์แดง ต้นสังกัดเดิมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ทันทีที่เขาจากมา

Michael Owen, Ronaldo
Real Madrid vs Albacete / Denis Doyle/GettyImages

เส้นทางกลับสู่บ้านเกิด

ปีต่อมา ราชันชุดขาว ยังคว้าตัว 2 หัวหอกชาวบราซิลอย่าง โรบินโญ และ ชูลิโอ บาปติสต้า ทำให้ โอเวน ที่เดิมทีก็แทบจะไม่มีโอกาสลงสนามอยู่แล้วตัดสินใจย้ายกลับมายังแผ่นดินบ้านเกิดอีกครั้ง แรกเริ่มมี ลิเวอร์พูล และ เอฟเวอร์ตัน เป็นตัวเต็งที่จะคว้าตัวกลับมาร่วมทีม แต่แล้วในที่สุดเป็น นิวคาสเซิล ที่ทุบกระปุกเป็นสถิติสโมสรกระชากตัวดาวยิงทีมชาติอังกฤษรายนี้กลับมาด้วยค่าตัว 16 ล้านปอนด์ น่าเสียกายที่ะหว่างค้าแข้งกับ ทัพสาลิกาดง เจ้าตัวถูกปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนค่อนข้างบ่อย ทำให้ผลงานการยิงประตูตกลงไปโดยตลอด 3 ปีในถิ่น เซนต์ เจมส์พาร์ค เขาทำไปได้ 30 ประตูรวมทุกรายการเท่านั้น

Michael Owen of Newcastle celebrates sco
Michael Owen of Newcastle celebrates sco / AFP/GettyImages

ความสำเร็จครั้งสุดท้ายกับ ปีศาจแดง

หลังจากผลงานอันย่ำแย่ของ นิวคาสเซิล ณ เวลานั้นที่ต้องตกชั้นลงไปเล่นในลีกรอง ทำให้ โอเวน ตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับสโมสร กระทั้งกลางปี 2009 เจ้าตัวทำในสิ่งที่ใครหลายคนไม่คาดคิดด้วยการเซ็นสัญญากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นเวลา 2 ปี สร้างความโกรธแค้นให้กับแฟนบอล หงส์แดง เป็นอย่างมาก พร้อมสวมหมายเลข 7 ต่อจากตำนานอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด้ ที่ย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด ในช่วงเวลาเดียวกัน

ตลอดปีแรกในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด โอเวน ในวัย 30 ปีเป็นอะใหล่ชั้นดีที่มักจะลงมาเปลี่ยนเกมให้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บ่อย ๆ รวมถึงฟอร์มอันโดดเด่นใน แชมป์เปี้ยนส์ลีก ที่ยิงได้ถึง 4 ประตูจาก 6 เกมที่ลงสนาม น่าเสียดายที่ช่วง 3 เดือนสุดท้ายของซีซั่นเขาได้รับบาดเจ็บจนต้องพักยาวและจบฤดูกาลด้วยผลงาน 9 ประตูรวมทุกรายการ แต่ยังสามารถคว้าแชมป์ อีเอฟแอล คัพ มาครองได้ในปีนั้น

ฤดูกาล 2010-11 แน่นอนว่าเขายังคงได้รับบทบาทให้เป็นตัวสำรองเช่นเคย ซึ่ง เฟอร์กี้ เคยออกมากล่าวถึง โอเวน ไว้ว่า "แม้ว่าเขาจะอายุมากแล้ว แต่เมื่อเรามีเขาอยู่บนม้านั่ง ทำให้เรามั่นใจได้เสมอว่าเรามีอาวุธที่ร้ายแรงคอยสนับสนุนในยามขับขัน แน่นอน โอเวน คือนักเตะคนสำคัญสำหรับสโมสรในเวลานี้" และในปีนั้นเอง โอเวน ได้สัมผัสกับแชมป์ พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกในชีวิต แถมยังเกือบเป็นแชมป์ยุโรปร่วมกับทีม แต่ก็ต้องไปจอดที่รอบชิงชนะเลิศด้วยการพ่ายต่อ บาร์เซโลนา ในยุคที่เรียกได้ว่าเป็นทีมจากต่างดาวอย่างแท้จริง

Michael Owen
Manchester United v Liverpool - FA Cup 3rd Round / Alex Livesey/GettyImages

หลังจบฤดูกาล โอเวน ตัดสินใจขยายสัญญากับ ปีศาจแดง เพิ่มอีกหนึ่งปี แต่เจ้าตัวก็แทบไม่มีส่วนร่วมกับสโมสรเลยในปีนั้นได้ลงเล่นไปเพียง 4 เกม จนในฤดูกาล 2012-13 เจ้าตัวตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ สโต๊ค ซิตี้ ทำได้ 1 ประตูจากการลงสนาม 8 เกม และประกาศแขวนสตั๊ดไปในปี 2013 ปิดฉากตำนานดาวยิงความเร็วสูงไปด้วยผลงาน 150 ประตูจากการลงสนามในลีก 326 เกมมาที่สุดตลอดกาลเป็นอันดับ 11 ในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก เลยทีเดียว


สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด