แมนฯ ยูไนเต็ด 0-5 ลิเวอร์พูล: เจาะ 10 ประเด็นหลังโศกนาฏกรรมในโรงละครแห่งความฝัน

Manchester United v Liverpool - Premier League
Manchester United v Liverpool - Premier League / Alex Livesey - Danehouse/GettyImages
facebooktwitterreddit

การแข่งขัน: ฟุตบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2021/22
วันแข่งขัน: วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม 2021
เวลาแข่งขัน: 22:30 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน: แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-5 ลิเวอร์พูล
สนาม: โอลด์ แทรฟฟอร์ด


1. ความเฉียบขาดที่แตกต่างกันตั้งแต่ต้นเกม

FBL-ENG-PR-MAN UTD-LIVERPOOL
FBL-ENG-PR-MAN UTD-LIVERPOOL / OLI SCARFF/GettyImages

ให้หลังจากเสียงนกหวีดเริ่มต้นเกมที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้ไม่กี่อึดใจเป็นฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ที่สามารถสร้างโอกาสถนัดถนี่ได้ก่อนเมื่อ บรูโน แฟร์นันด์ส หลุดไปในกรอบเขตโทษล่อเป้า อลิสซอน เบ็คเกอร์ แต่กลับตะบันหลุดกรอบไปไกลแบบไม่ได้ลุ้น

ถัดจากนั้นไม่นานก็กลายเป็น ลิเวอร์พูล ที่สร้างโอกาสจะแจ้งได้บ้างและกลายเป็น นาบี เกอิต้า ได้หลุดเดี่ยวเข้าไปใส่สกอร์สำเร็จ

น่าคิดเหลือเกินว่าถ้าหาก บรูโน เฉียบขาดกว่านั้นและจบโอกาสดังกล่าวเป็นประตูให้ ปีศาจแดง ออกนำไปก่อนแล้วรูปเกมจะเป็นอย่างไร

2. การเพรสซิงระดับฟุตบอลนักเรียน

Mohamed Salah, Fred, Scott McTominay
Manchester United v Liverpool - Premier League / Michael Regan/GettyImages

ปีศาจแดง ของ โอเล กุนนาร์ โซลชา สร้างเซอร์ไพรส์เหมือนจะพยายามเอาใจแฟนบอล เร้ดเดวิลส์ ใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด ด้วยการสั่งให้ลูกทีมไล่บีบพื้นที่ตั้งแต่แดนบน แต่นั่นกลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมหันต์เมื่อคู่ต่อสู้คือ ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์

หงส์แดง ที่ขึ้นชื่อเรื่องการเล่นฟุตบอลเฮฟวีเมทัล เพรสซิงใส่คู่ต่อสู้ระดับเซียนอ๋อง นั่นหมายความว่าในสนามซ้อมพวกเขาต้องแบ่งข้างซ้อมการบีบพื้นที่ใส่ซึ่งกันและกันอย่างไม่ต้องสงสัย

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกทีมของ คล็อปป์ ไม่ยี่หระต่อการวิ่งไล่บอลอย่างไร้จุดหมายของลูกทีม โอเล ต่อบอลเอาชนะการเพรสซิงที่ป้อแป้ดังกล่าวไปจบที่ก้นตาข่ายสำเร็จอย่างง่ายดาย

3. หายนะ ชอว์-แม็คไกวร์

Naby Keita, Harry Maguire, Luke Shaw
Manchester United v Liverpool - Premier League / Michael Regan/GettyImages

แทบไม่น่าเชื่อว่า แฮร์รี แม็คไกวร์ มีสถานะเป็นปราการหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลกกับมูลค่าราว 80 ล้านปอนด์เมื่อเขาแสดงให้เห็นความผิดพลาดทุกอย่างเท่าที่คุณจะนึกออกสำหรับนักเตะในตำแหน่งดังกล่าว

การตัดสินใจที่เชื่องช้า การยืนตำแหน่งที่ผิดพลาด การสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมไม่ดีพอ การเข้าสกัดที่ไม่เด็ดขาด ความเชื่อมั่นของทั้งตนเองและเพื่อนร่วมทีมที่ถดถอยจากความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

4. เกอิต้า โชว์

Diogo Jota
Manchester United v Liverpool - Premier League / Michael Regan/GettyImages

นาบี เกอิต้า กลายเป็นทุกอย่างของ ลิเวอร์พูล นับตั้งแต่เริ่มต้นเกมที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด

มิดฟิลด์ทีมชาติ กินี แสดงความมุ่งมั่นให้เห็นตั้งแต่การไล่บอลบีบพื้นที่คู่ต่อสู้ เปิดหัวด้วยการพังประตูเบิกร่องอย่างเด็ดขาด มีส่วนร่วมในจังหวะตั้งต้นอันเป็นที่มาของการได้ประตู 2-0 ตามด้วยการแอสซิสต์ให้ ซาลาห์ จบลูก 3-0

น่าเสียดายที่ เกอิต้า ไม่สามารถเล่นได้จนจบเกมเมื่อถูก ปอล ป็อกบา อัดเข้าใส่จนได้รับบาดเจ็บและต้องถูกเปลี่ยนตัวออกในครึ่งหลัง

5. ซาลาห์ เข้าขั้นแข้งดีที่สุดในโลก

FBL-ENG-PR-MAN UTD-LIVERPOOL
FBL-ENG-PR-MAN UTD-LIVERPOOL / OLI SCARFF/GettyImages

แฮตทริคของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในเกมนี้ทำให้เขามีสถิติตะบันไปแล้ว 15 ประตูกับ 5 แอสซิสต์จากการลงสนาม 12 นัดเมื่อรวมทุกรายการในฤดูกาลนี้ แถมยังเป็นการใส่สกอร์ต่อเนื่อง 10 นัดติดต่อกันเข้าไปแล้ว

นอกจากนี้ 3 ประตูดังกล่าวกลายเป็นลูกที่ 107 ของ ซาลาห์ ใน พรีเมียร์ลีก ทำให้เขากลายเป็นแข้งจากทวีปแอฟริกาที่ยิงประตูได้มากที่สุดใน พรีเมียร์ลีก แซงหน้า ดิดิเยร์ ดร็อกบา (104 ประตู) เป็นที่เรียบร้อย

เท่านั้นยังไม่พอ แฮตทริคของ ซาลาห์ ทำให้เจ้าตัวกลายเป็นแข้งทีมเยือนรายแรกที่ซัด 3 ประตูใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในรอบ 18 ปีนับตั้งแต่ที่ โรนัลโด้ นาซาริโอ ของ เรอัล มาดริด ทำได้ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2003

6. ประตูที่ 5 ตอกฝาโลงปิดประตูคัมแบ็ค

Manchester United v Liverpool - Premier League
Manchester United v Liverpool - Premier League / Alex Livesey - Danehouse/GettyImages

สกอร์ที่ตามหลัง 4-0 ตั้งแต่ก่อนจบครึ่งแรกอาจดูห่างไกลสุดกู่ แต่มองโลกในแง่ดีสุดๆ การไล่ตีตื้นอย่างน้อยตีไข่แตกโดยเร็วอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเกมได้บ้างเมื่อรวมกับเสียงเชียร์ของแฟนบอลใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด

ทว่าความคาดหวังของแฟนผีก็ถูกกระทืบลงอย่างไม่มีชิ้นดีโดยแฮตทริคของ โม ซาลาห์ หลังกลับมาเขี่ยลูกเริ่มเกมได้เพียง 5 นาที

7. ป็อกบา กับสถานะตัวสำรองเพื่อใบแดง

Paul Pogba
Manchester United v Liverpool - Premier League / Michael Regan/GettyImages

การดร็อป ปอล ป็อกบา เป็นเพียงตัวสำรองเป็นเรื่องยากเกินกว่าที่เราจะสามารถทำความเข้าใจได้เมื่อสตาร์ทีมชาติ ฝรั่งเศส เพิ่งพิสูจน์ตนเองถึงความสำคัญกับเพื่อนร่วมทีมจากผลงานในเกมกับ อตาลันต้า

ผลการแข่งขันช็อคโลกในแมตช์คัมแบ็คเมื่อกลางสัปดาห์เกิดขึ้นได้เมื่อเขาถูกเปลี่ยนตัวลงมาหลังพักครึ่งและมีส่วนสำคัญกับการผ่านบอลได้เสียที่แดนกลาง ปลดล็อคศักยภาพของ บรูโน แฟร์นันด์ส และ คริสเตียโน​ โรนัลโด้ จากบอลที่หวังผลได้

ทว่า โซลชา กับจับ ป็อกบา ใส่สนับก้นนั่งอยู่บนม้านั่งสำรองต่อเนื่อง และสกอร์ที่ตามหลังถึง 4-0 ตั้งแต่ก่อนจบครึ่งแรกก็เป็นความพยายามชนิดเข็นครกขึ้นภูเขาในการที่จะไล่ตามทัน

ท้ายที่สุด ป็อกบา อยู่ในสนามราว 15 นาทีหลังถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนที่ เมสัน กรีนวูด โดยได้รับใบแดงโดยตรงจากจังหวะพยายามแย่งบอลคืนจาก เกอิต้า

8. การเปลี่ยนตัวของ โซลชา

Edinson Cavani
Manchester United v Liverpool - Premier League / Alex Livesey - Danehouse/GettyImages

ในขณะที่ทีมตามหลังอยู่ 5-0 และเหลือผู้เล่นเพียง 10 คนในขณะที่เกมเหลืออยู่ราว 30 นาที โซลชา ก็กล้าๆ สร้างเซอร์ไพรส์อีกครั้งด้วยการถอดเอาแข้งที่สร้างสรรค์เกมได้ดีที่สุดอย่าง บรูโน ออกจากสนาม เช่นเดียวกับแข้งความเร็วสูงในแนวรุก มาร์คัส แรชฟอร์ด

เราคาดหวังถึงการส่งเอา 2 ตัวรุกลงมาแทนที่อย่างน้อยเพื่อทวงสกอร์คืนเมื่อบนม้านั่งสำรองพวกเขามีทั้ง เจสซี ลินการ์ด, ดอนนี ฟาน เดอ เบค และ เจดอน ซานโช แต่กลับกลายเป็น ดิโอโก้ ดาโลต์ ที่ได้รับโอกาสแทนที่

แม้จะมี เอดินสัน คาวานี เป็นหนึ่งในตัวสำรองของการเปลี่ยนตัวดังกล่าวแต่นั่นก็ไม่สามารถจุดประกายความหวังใดๆ ได้เมื่อทั้งเขาและ โรนัลโด้ ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวที่แดนหน้าจากการที่ไม่มีคนวางบอลให้

9. ความพ่ายแพ้ยับเยินของ ปีศาจแดง

Manchester United v Liverpool - Premier League
Manchester United v Liverpool - Premier League / Michael Regan/GettyImages

ครั้งสุดท้ายที่ ลิเวอร์พูล บุกมาใส่สกอร์ แมนฯ ยูไนเต็ด ถึง 5 ลูกในลีกเกิดขึ้นเมื่อ 85 ปีก่อน (แมนฯ ยูไนเต็ด 2-5 ลิเวอร์พูล 21 พฤศจิกายน 1936)

การปราชัยใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด กับเกมลีกของ ปีศาจแดง ที่มีระยะห่างจากคู่แข่ง 5 ประตูเกิดขึ้นครั้งล่าสุดในปี 2020 ที่พวกเขาถูก สปอร์ส บุกถล่ม 1-6 โดย ไก่เดือยทอง ชุดดังกล่าวอยู่ภายใต้การคุมทีมของ โชเซ มูรินโญ

ครั้งสุดท้ายที่ เร้ดเดวิลส์ แพ้ 5-0 คาบ้านในเกมลีกเกิดขึ้นเมื่อ 66 ปีก่อนโดยเป็นเกม แมนเชสเตอร์ดาร์บี้ กับ แมนฯ ซิตี้ (กุมภาพันธ์ 1955)

10. ไปต่อหรือพอแค่นี้

FBL-ENG-PR-MAN UTD-LIVERPOOL
FBL-ENG-PR-MAN UTD-LIVERPOOL / OLI SCARFF/GettyImages

ผลจากการแข่งขันในเกมนี่ทำให้ โซลชา ขึ้นแท่นกลายเป็นกุนซือตัวเต็งลำดับต่อไปที่จะถูกตะเพิดออกจากตำแหน่ง

หลายครั้งหลายคราที่นายใหญ่ชาว นอร์วีเจี้ยน สามารถเด้งเชือกยามหลังพิงฝา หลบวิกฤตของทีมชนิดจวนตัว รอดพ้นจากการถูกเชือดพ้นจากเก้าอี้สำเร็จ ขณะที่บอร์ดบริหารของพวกเขายังคงเชื่อมั่นในตัวตำนานสโมสรรายนี้จากการให้โอกาสนับครั้งไม่ถ้วน

แต่ความพ่ายแพ้แบบหมดรูปเกมนี้ยืนยันชัดเจนถึงความห่างชั้นระหว่าง แมนฯ​ ยูไนเต็ด กับทีมชั้นนำใน พรีเมียร์ลีก ดีเอ็นเอของ ปีศาจแดง ที่ โซลชา เคยคุยโวเอาไว้กลายเป็น ลิเวอร์พูล ที่ดูจะมีดีเอ็นเอของ เร้ดเดวิลส์ เสียมากกว่า

ไม่นับการบริหารจัดการทีมอย่างที่เรายากจะคาดการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ ดอนนี ฟาน เดอ เบค หรือจัดการให้ เจดอน ซานโช กลายเป็นดาวดับจนถึงเวลานี้

ลูปของ โซลชา อาจเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อทีมพบวิกฤตโดยเกมถัดไปพวกเขาจะเจอกับ สเปอร์ส ในวันเสาร์หน้า ถึงเวลานั้นชัยชนะเหนือ สเปอร์ส อาจทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงมาได้บ้าง แต่หากพิจารณาจากผลงานตลอดระยะเวลาของเขากับ ปีศาจแดง นายใหญ่ โซลชา ไม่เคยแสดงให้เห็นถึงกึ๋นในการนั่งแท่นกุมบังเหียนทีมทั้งในเชิงแท็คติกและการเป็นผู้นำของทีมแต่อย่างใด

และเราคิดว่านั่นเป็นเหตุผลที่เพียงพอหาก ปีศาจแดง จะแยกทางกับกุนซือ นอร์วีเจี้ยน รายนี้


สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด