ลิเวอร์พูล กับเกมที่ Out Class ทั้งในและนอกสนาม - OPINION

หลายคนรู้ว่าปัญหาของ ลิเวอร์พูล ในเวลานี้คืออะไร แต่ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะโดน ไบรท์ตัน ไล่ถล่มแบบ "เอ้าท์คลาส" ไม่มีทางสู้ในเกม พรีเมียร์ลีก นัดล่าสุดแบบนี้

ฤดูกาลนี้ หงส์แดง มีปัญหามาตั้งแต่ช่วง พรี-ซีซัน ผู้เล่นตัวหลักได้รับบาดเจ็บสลับหน้ากันและต่อเนื่อง ในขณะที่การเดินเกมในตลาดซื้อขายก็ดูจะไม่ได้เป็นไปตามแผนมากนัก

เยอร์เก้น คล็อปป์ รู้ว่าแดนกลางกำลังต้องการตัวใหม่เข้ามาเติมเต็ม จึงมีข่าวออกมาว่าพวกเขาหมายมั่นปั้นมือกับการคว้าตัว ออเรเลียง ชูอาเมนี ของ โมนาโก เป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายนักเตะเลือกย้ายไป เรอัล มาดริด ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องหันไปทุ่มซื้อ ดาร์วิน นูนเญซ เข้ามาแทน

กองหน้าชาวอุรุกวัยไม่ใช่นักเตะที่จะมาแทนแข้งทีมชาติฝรั่งเศสเพราะเล่นกันคนละตำแหน่ง แต่นายใหญ่ชาวเยอรมันซื้อเพื่อทดแทนการย้ายทีมของ ซาดิโอ มาเน และเขามีแผนจะใช้ หลุยส์ ดิอาซ เล่นฝั่งซ้ายโดยขยับ นูนเญซ มายืนเป็นหน้าเป้าอยู่แล้ว

ในแดนกลางเจ้าตัวบอกอยู่เสมอว่านักเตะที่มีอยู่ยังใช้งานได้ และเขาก็พอใจกับทีมชุดนี้ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงจึงไม่เกิดขึ้น และเขายังหวังที่จะใช้งาน ติอาโก้ อัลคันทารา, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ฟาบินโญ อีก 1 ปีก่อนจะไปทุ่มเงินในช่วงซัมเมอร์หน้า

อย่างไรก็ตามปัญหาอาการบาดเจ็บและฟอร์มตกทำให้แผนของ คล็อปป์ ผิดแผกไปจากที่คิดเอาไว้ นับตั้งแต่นัดแรกของฤดูกาลนักเตะ ลิเวอร์พูล ไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นให้สม่ำเสมอได้เลย อยู่ในภาวะลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาตลอด และทั้ง ๆ ที่ยังมีเวลาที่จะซื้อใครซักคนเพื่อเสริมตรงกลางสนามแต่สุดท้ายกลับทำได้แค่การยืม อาร์ตูร์ เมโล มาร่วมทีมแบบเสียมิได้ และบทสรุปคือนักเตะก็บาดเจ็บใช้งานไม่ได้อีก

ดังนั้นทุกคนรู้มาตลอดว่าปัญหาคืออะไร และเฝ้าดูความย่ำแย่ของทีมมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่ฝีจะมาแตกเอาในเกมที่โดน ไบรท์ตัน สอนบอลในเกมเมื่อคืนนี้

11 ตัวจริงของ เยอร์เก้น คล็อปป์ แทบจะเป็นชุดเดียวกับที่พาทีมลุ้น 4 แชมป์เมื่อฤดูกาลที่แล้วหากแต่พอลงสนามไปฟอร์มกลับเหมือนทีมที่เพิ่งเล่นด้วยกันไม่นาน ในขณะที่เจ้าบ้านแม้จะเสีย เกรแฮม พ็อตเตอร์ ไปแต่พวกเขาก็ยังมี โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ ที่สานต่องานได้อย่างไร้ที่ติ

ลิเวอร์พูล เคยเล่นฟุตบอลแบบที่ ไบรท์ตัน เล่นเมื่อคืนนี้ แต่ในนัดล่าสุดพวกเขากลับทำไม่ได้และไม่มีทางทำได้แล้วเมื่อดูจากสภาพของนักเตะแต่ละคน รวมทั้งผู้จัดการทีมอย่าง เยอร์เก้น คล็อปป์ ด้วย

ความชะล่าใจและไว้ใจในลูกทีมมากเกินไปทำให้พวกเขามีวันนี้ วันที่ 11 ตัวจริงทำอะไรคู่แข่งไม่ได้ วิ่งหาบอลไม่เจอ โดนล่อเป้าอยู่ข้างเดียว ปล่อยให้ฝั่งตรงข้ามต่อบอลไปมาแบบสบาย ๆ ซึ่งนายใหญ่ หงส์แดง ยอมรับว่าไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว

แต่ถ้าสืบสาวราวเรื่องกันดี ๆ จะพบว่าความเอ้าท์คลาสของฟุตบอล ลิเวอร์พูล มันไม่ได้เกิดเพียงชั่วข้ามคืน เพราะมันสั่งสมมาจากนโยบายของกลุ่ม FSG และวิธีคิดของ เยอร์เก้น คล้อปป์ ด้วย

นโยบายการซื้อมาขายไปของกลุ่มทุนจากอเมริกาเคยถูกยกย่องว่าทำให้ หงส์แดง กลายเป็นทีมที่ใช้เงินทุกปอนด์ได้อย่างคุ้มค่าและทำให้ทีมแข็งแกร่งอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งประสบความสำเร็จมากมายชนิดที่หลาย ๆ ทีมอยากจะเลียนแบบกันแทบตาย

สอดคล้องกับในสนามที่ คล็อปป์ มีระบบฟุตบอลที่นำสมัย เขาเป็นคนแรก ๆ ที่เอาการเพรสซิ่งหนักเข้ามาสู่ พรีเมียร์ลีก ในแบบฉบับของ เกเก้นเพรสซิ่ง ซึ่งสร้างความตกตะลึงให้กับแฟนบอลและคู่แข่ง และได้รับการยกย่องมาตลอด 4-5 ปีหลัง

หากแต่ระบบการเล่นที่ใช้ร่างกายนักเตะอย่างหนักหน่วงเช่นนี้ถ้าไม่มีการสนับสนุนที่ดีและทีมหลังบ้านที่ยอดเยี่ยม พร้อมกับแผนอนาคตมารองรับ มันก็จะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ และในเกมกับ ไบรท์ตัน ก็เป็นบทสรุปที่ดี

FSG ยังคงเดินหน้าใช้นโยบายเดิมต่อไป คล็อปป์ ก็เชื่อมั่นในนักเตะและระบบของตน ในขณะที่ความวุ่นวายที่อยู่เบื้องหลังก็ส่งผลทำให้ทีมทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ ใครจะบอกว่าการประกาศลาทีมพร้อม ๆ กันของ เอียน เกรแฮม และ จูเลียน วอร์ด ซึ่งก่อนหน้านั้นก็เป็น ไมเคิล เอ็ดเวิร์ด ไม่เกี่ยวกับทีมคงไม่ใช่ และไหนจะคุณหมอคนเก่งอย่าง จิม ม็อกซอน ที่อำลาทีมไปตั้งแต่เปิดฤดูกาลนั่นก็มีผล

การจะทำให้ทีมเดินไปสู่เป้าหมายได้ทุกอย่างทั้งในและนอกสนามต้องสอดคล้องกัน แต่ตอนนี้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้เป็นแบบนั้น พวกเขามีปัญหาทุกทั่วหัวระแหง จากทีมที่ได้รับการยอมรับเรื่องหลังบ้าน ตอนนี้กลายเป็นทีมที่สมองไหล คนเก่ง ๆ ลาออกกันหมด เจ้าของทีมก็ไม่พร้อมทุ่มเงินสนับสนุน

แม้ท้ายที่สุด เยอร์เก้น คล็อปป์ จะต้องสู้อย่างโดดเดี่ยว แต่ก็ใช่ว่าไม่มีโอกาสที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เพียงแต่เขาไม่ทำจะไม่ว่าด้วยเหตุผลใดทุกอย่างจึงเลยเถิดและยากจะกลับไปสู่จุดเดิมได้

อย่างไรก็ตามหวังลึก ๆ ว่าความพ่ายแพ้แบบหมดรูปในเกมล่าสุดจะทำให้ทุกคนที่อยู่ในสโมสรตื่นจากภวังค์หันกลับมาทบทวนบทบาทของตัวเอง และเดินหน้าแก้ไขมันอย่างจริงจังเพื่อไม่ให้ทีมตกต่ำมากกว่านี้

เพราะถ้าไม่สามารถติดท็อปโฟร์ได้ แผนที่วางไว้ในช่วงซัมเมอร์ก็จะเป็นเพียงฝันลม ๆ แล้ง ๆ เท่านั้น