ลิเวอร์พูล 1-1 คริสตัล พาเลซ: วิเคราะห์ 5 ประเด็นหลังเกม หงส์แดง 10 คนเจ๊า ปราสาทเรือนแก้ว
โดย โตมร นวลประเสริฐ
การแข่งขัน: ฟุตบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 2022/23
วันแข่งขัน: คืนวันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2022
เวลาแข่งขัน: 02:00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน: ลิเวอร์พูล 1-1 คริสตัล พาเลซ
สนาม: แอนฟิลด์
1. เกมรุกเอียงขวาประสานกันงานกันสนุกในช่วงต้น
ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายครอบครองเกมอยู่เพียงฝ่ายเดียวอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาเดินหน้าสร้างโอกาสโจมตีใส่ทีมเยือนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่จังหวะสุดท้ายที่ขาดๆ เกินๆ ไปเล็กน้อยทำให้ไม่อาจส่งบอลสู่ก้นตาข่าย คริสตัล พาเลซ ได้
เกมข้างเดียวที่ แอนฟิลด์ แตกต่างถึงขนาดที่ คริสตัล พาเลซ ไม่สามารถเคลื่อนบอลไปในกรอบเขตโทษของ ลิเวอร์พูล ได้เลยใน 25 นาทีแรกของเกมชนิดที่สถิติในการสัมผัสบอลของ พาเลซ ในเขตโทษ หงส์แดง เป็น 0 ครั้ง
ผลของการพับสนามบุกอยู่ฝ่ายเดียวโดยที่ทีมเยือนตั้งรับลึกทำให้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โดดเด่นกับการขึ้นเกม วางบอลจากทั้งริมเส้นและแนวลึกสู่พื้นที่อันตราย สร้างโอกาสให้เพื่อนทำประตูครั้งแล้วครั้งเล่า
2. สมดุลแดนกลาง เอลเลียตต์-ฟาบินโญ-มิลเนอร์
เยอร์เก้น คล็อปป์ ไว้วางใจส่ง ฮาร์วีย์ เอลเลียต์ ลงประสานงานคู่กับ ฟาบินโญ และ เจมส์ มิลเนอร์ ที่แดนกลาง กลายเป็นส่วนผสมที่ทำได้น่าพอใจในระดับหนึ่งเมื่อดวลกับคู่แข่งอย่าง พาเลซ
มิดฟิลด์ทีมชาติ บราซิล ปักหลักคัดท้ายในบทบาทโฮลดิ้งมิดฟิลด์โดยมี เจมส์ มิลเนอร์ เติมความดุดันทั้งในการไล่บีบพื้นที่และทะยานเติมขึ้นไปมีส่วนร่วมในพื้นที่อันตราย ขณะที่ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ วูบวาบกับการเคลื่อนเติมไปยังพื้นที่สุดท้ายและใช้ทักษะการไปกับบอลสร้างปัญหาให้กับแนวรับของ พาเลซ
แต่สิ่งที่มิดฟิลด์ทั้ง 3 ดูจะขาดหายไปสักเล็กน้อยคือวิสัยทัศน์ในการผ่านบอลสู่พื้นที่สุดท้ายอย่างที่ ติอาโก้ อัลคันทารา เคยทำได้กับทีมโดยความหวือหวาของ เอลเลียตต์ ในช่วงต้นค่อยๆ หายไปจากเกมเมื่อเวลาผ่านไป
3. ปัญหาความเด็ดขาดของ นูนเญซ และการเสียท่าถูกใบแดง
ส่วนสูง ความแข็งแกร่ง และความคล่องตัวของ ดาร์วิน นูนเญซ เป็นทางเลือกให้รูปแบบการโจมตีของ ลิเวอร์พูล หลากหลายยิ่งขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด บอลไดเร็กต์ชนิดที่ให้ นูนเญซ ไล่ตามเก็บที่แดนบนมีให้เห็นเยอะขึ้นเช่นเดียวกับความพยายามครอสบอลให้ดาวยิงทีมชาติ อุรุกวัย ทะยานโฉบเข้าหาบอลเพื่อจบสกอร์
แต่สิ่งที่ยังคงเป็นปัญหาสำหรับแข้งวัย 23 ปีความเด็ดขาดในการจบสกอร์จังหวะสุดท้าย ความพยายามของ นูนเญซ ยังขาดๆ เกินๆ ในหลายครั้งส่งผลให้บอลออกจากเท้าของเจ้าตัวไม่ได้ลุ้นแม้ว่าเพื่อนร่วมทีมจะสร้างโอกาสถวายพานให้กับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
ผลงานส่วนตัวที่ว่าไม่น่าพอใจนักถูกยกระดับความเลวร้ายด้วยใบแดงชนิดเสียค่าโง่เมื่อเจ้าตัวเสียเหลี่ยมให้กับ โจอาคิม แอนเดอร์เซน ถูกยั่วโมโหจนตบะแตกเฮดบัตต์ใส่ปราการหลังทีมชาติ เดนมาร์ก ได้รับใบแดงโดยตรงไล่ออกจากสนามในที่สุด
4. ไลน์แนวรับลอยสูงและคู่ดวลกันระหว่าง ซาฮา vs ฟิลลิปส์
ปาทริค วิเอรา วางแท็คติกในเกมนี้ด้วยรูปแบบ 5-4-1 จับเอา วิลฟรีด ซาฮา ปักหลักเป็นกองหน้าตัวเป้ารอโอกาสในการสวนกลับเร็ว ใช้ความเร็วโจมตี แนท ฟิลลิปส์ โดยตรง
ซาฮา แสดงให้เห็นถึงความคล่องตัวและสปีดต้นที่สามารถเล่นงาน ฟิลลิปส์ ให้เห็นในช่วงต้นก่อนที่เขาจะกลายเป็นคนชิงจังหวะ เอาชนะปราการหลังวัย 25 ปีสำเร็จหลุดเข้าไปดวลเดี่ยวกับ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ไม่พลาดเป็นประตูขึ้นนำ 1-0
กองหน้าทีมชาติ ไอวอรี โคสต์ ยังคงสร้างปัญหาให้กับ ฟิลลิปส์ หลังจากนั้นและนับว่าเป็นโชคดีของ ลิเวอร์พูล ที่ ซาฮา สามารถมีชื่อบนสกอร์บอร์ดได้เพียงครั้งเดียว
5. ดิอาซ งัดทีเด็ด
ทักษะของ หลุยส์ ดิอาซ ยังคงเพลินตาเช่นเคยเมื่อเจ้าตัวถูกส่งลงสนามประจำการที่กราบซ้ายและจบเกมด้วยสถิติกลายเป็นแข้ง หงส์แดง ที่เลี้ยงผ่านคู่แข่งมากที่สุดในสนามจำนวน 7 ครั้ง หนึ่งในนั้นคือความพยายามกระชากหนีกลุ่มผู้เล่น พาเลซ เลี้ยงตัดจากริมเส้นฝั่งซ้ายเข้ามาสร้างโอกาสจบสกอร์ที่หน้ากรอบเขตโทษอย่างถนัดถนี่
ดิอาซ ดูจะเล่นอย่างมีความมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปในเกมนี้ เขาใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการไปกับบอลและครอบครองบอลสร้างปัญหาให้แดนหลังของทีมเยือนอย่างต่อเนื่อง