เยอร์เก้น คล็อปป์ vs เป๊ป กวาร์ดิโอลา: ย้อนรอยเฮดทูเฮดระหว่าง 2 กุนซือก่อนซูเปอร์บิ๊กแมตช์ แมนฯ ซิตี้ พบ ลิเวอร์พูล
โดย โตมร นวลประเสริฐ
เยอร์เก้น คล็อปป์ และ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เป็น 2 กุนซือที่ดีที่สุดตลอดกาลแห่งยุคสมัย ทั้งคู่ต่อกรไล่เรียงกันมาตั้งแต่คุมทัพ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ กับ บาเยิร์น มิวนิค ในศึก บุนเดสลีกา กระทั่งจนถึง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แห่ง พรีเมียร์ลีก เวลานี้
90min พาผู้อ่านย้อนรอยการพบกันทุกครั้งของทั้ง 2 กุนซือตลอดเส้นทางการคุมทัพของพวกเขา
สรุปสถิติการพบกันระหว่าง เยอร์เก้น คล็อปป์ vs เป๊ป กวาร์ดิโอลา
พบกันทั้งหมด 22 ครั้ง
เยอร์เก้น คล็อปป์ ชนะ 9 ครั้ง
เป๊ป กวาร์ดิโอลา ชนะ 9 ครั้ง
เสมอ 4 ครั้ง
1. โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 4-2 บาเยิร์น มิวนิค (27 กรกฎาคม 2013)
การพบกันครั้งแรกระหว่าง เยอร์เก้น คล็อปป์ และ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ในศึก เดเอฟแอล ซูเปอร์คัพ จุดเริ่มต้นของการต่อสู่ที่ยาวนานจนเวลาล่วงเลยมาถึงปัจจุบัน
มาร์โก รอยส์ มีชื่อทำ 2 ประตูทว่าการทำเข้าประตูตัวเองของ อิลคาย กุนโดกัน และ แดเนียล ฟาน บุยเต็น บวกกับ 2 ประตูของ อาร์เยน ร็อบเบน ทำให้ทีม บาเยิร์น มิวนิค ของ เป๊ป ประเดิมซิวชัยในการพบกันครั้งแรกนี้
2. โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 0-3 บาเยิร์น มิวนิค (23 พฤศจิกายน 2013)
ให้หลังจากที่ ดอร์ทมุนด์ เพิ่งปราชัยต่อ บาเยิร์น ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศฤดูกาลก่อนหน้า พวกเขาก็ได้เสีย มาริโอ เกิตเซ สู่อริร่วมลีกในซัมเมอร์ถัดมา
สตาร์ทีมชาติ เยอรมนี ในเวลานั้นแผลงฤทธิ์ทันทีใน ซิกนัล อิดูนา พาร์ค เมื่อเป็นคนพังประตูเบิกร่องพาทัพ เสือใต้ ไล่ขย่ม เสือเหลือง ขาดลอย
3. บาเยิร์น มิวนิค 0-3 โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (12 เมษายน 2014)
การพบกันครั้งถัดมาในเกมที่ อัลลิอันซ์ อารีนา ฤดูกาลเดียวกันเป็นทีของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่เอาคืนสำเร็จจากชัยชนะ 3-0 ด้วยประตูของ เฮนริคห์ มคิทาร์ยาน, มาร์โก รอยส์ และ โยนาส ฮอฟมันน์
4. โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 0-2 บาเยิร์น มิวนิค (AET) (17 พฤษภาคม 2014)
ทิ้งทวนฤดูกาล 2013/14 ด้วยแมตช์ชิงดำฟุตบอลถ้วย เยอรมนี และเป็น เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่เข้าป้ายคว้าแชมป์จาก 2 สกอร์ในช่วงต่อเวลาพิเศษจากประตูของ อาร์เยน ร็อบเบน กับ โธมัส มึลเลอร์
นับเป็นโทรฟี่แชมป์เมเจอร์ที่ 2 ของ เป๊ป ใน เยอรมนี หลังจากที่พาทีมคว้าถาด บุนเดสลีกา มาในฤดูกาลเดียวกัน
5. โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 2-0 บาเยิร์น มิวนิค (13 สิงหาคม 2014)
ศึก ซูเปอรืคัพ เปิดหัวซีซัน 2014/15 เป็น ดอร์ทมุนด์ ที่สามารถล้างแค้นจากความผิดหวังในศึก เดเอฟเบ โพคาล เมื่อฤดูกาลก่อนจากประตูของ มคิทาร์ยาน และ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง
6. บาเยิร์น มิวนิค 2-1 โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (1 พฤศจิกายน 2014)
เกมแรกของ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ในสีเสื้อ บาเยิร์น ดวลกับอดีตต้นสังกัดและกลายเป็นหัวหอกทีมชาติ โปแลนด์ ที่สังหารประตูตีเสมอ 1-1 หลังจาก มาร์โก รอยส์ พังประตูเบิกร่องให้กับทีมเยือน ตามด้วยประตูชัยในช่วงท้ายเกมของ เอฟซี ฮอลลีวูด โดย ร็อบเบน เจ้าเก่า
7. โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 0-1 บาเยิร์น มิวนิค (4 เมษายน 2014)
เลวานดอฟสกี้ มีชื่อบนสกอร์บอร์ดอีกครั้งในการพบกันเกมถัดมา และเป็นการพังประตูในถิ่น ซิกนัล อิดูนา พาร์ค ซัดโทนพา บาเยิร์น บุกคว่ำ ดอร์ทมุนด์ พังคารังก่อนพวกเขาจะเดินหน้าคว้าแชมป์ลีกขณะที่ เสือเหลือง จมปลักในอันดับที่ 7 ของตารางคะแนน
8. บาเยิร์น มิวนิค 1-1 โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (PK 0-2) (28 เมษายน 2015)
ให้หลังไม่กี่สัปดาห์จากชัยชนะของ บาเยิร์น ในเกมก่อน พวกเขาโคจรมาพบกันอีกครั้งในศึก เดเอฟเบ โพคาล รอบเซมิไฟนอล โดยครั้งนี้เป็นทีของ คล็อปป์ ที่เบียดซิวชัยได้หลังผลเสมอ 1-1 จากประตูของ เลวานดอฟสกี้ กับ โอบาเมยอง ก่อน ดอร์ทมุนด์ จะปราชัยต่อ โวล์ฟส์บวร์ก 1-3 ในเกมนัดชิงชนะเลิศ
9. ลิเวอร์พูล 1-0 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (31 ธันวาคม 2016)
20 เดือนถัดจากการพบกันในครั้งก่อน คล็อปป์ vs เป๊ป ประเดิมบทใหม่ในผืนแผ่นดิน อังกฤษ ในบทบาทนายใหญ่ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเป็น จินี ไวนัลดุม ที่พา หงส์แดง ซิวชัยในศึก พรีเมียร์ลีก
10. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-1 ลิเวอร์พูล (19 มีนาคม 2017)
แมตช์ถัดมาในฤดูกาลเดียวกันที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ลงเอยด้วยผลเสมอ 1-1 โดย เร้ดแมชีน ได้ประตูเบิกร่องก่อนจาก เจมส์ มิลเนอร์ ก่อนที่ เซร์คิโอ อเกวโร จะพังประตูตีเสมอในเวลาต่อมา
11. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 5-0 ลิเวอร์พูล (9 กันยายน 017)
เกมที่ถูกโหมโรงสร้างบรรยากาศแห่งความตึงเครียดโดยมีเหตุการณ์ปะทะระหว่าง ซาดิโอ มาเน กับ เอแดร์ซอน เป็นไฮไลท์ในช่วงต้นและเป็นใบแดงของแข้งทีมชาติ เซเนกัล กลายเป็นจุดเปลี่ยนให้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ครอบครองเกมโดยสมบูรณ์ก่อนไล่ขโยกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ขาดลอย รวมทั้งเป็นความพ่ายแพ้ด้วยสกอร์ขาดที่สุดของนายใหญ่ชาว เยอรมัน ต่อ เป๊ป จนถึงเวลานี้
5 ประตูในเกมนี้ของ ซิตี้ เกิดขึ้นโดย อเกวโร, กาเบรียล เชซุส (2) และ เลรอย ซาเน (2)
12. ลิเวอร์พูล 4-3 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (14 มกราคม 2018)
หงส์แดง ถอนแค้น เรือใบสีฟ้า สำเร็จในการพบกันครั้งถัดมาที่ แอนฟิลด์ ในเกมสุดมันส์ที่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลย ตะบันประตูเบิกร่องก่อน เลรอย ซาเน ตามตีเสมอก่อนจบครึ่งแรก
สามประสานของ เร้ดแมชีน เรียงคิวใส่สกอร์ในครึ่งหลังโดย แบร์นาร์โด้ ซิลวา กับ อิลคาย กุนโดกัน พังประตูไล่ตีตื้นให้เกมสนุกในช่วงท้าย
13. ลิเวอร์พูล 3-0 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (4 เมษายน 2018)
ไม่กี่เดือนหลังจากการพบกันครั้งก่อน ดวงของทั้งคู่ยังสมพงศ์กันในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก โดยการพบกันที่เลกแรกใน แอนฟิลด์ เป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์, อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน และ ซาดิโอ มาเน เรียงคิวซัดคนละตุงถล่ม ซิตีเซนส์ ยับเยิน
14. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-2 ลิเวอร์พูล (10 เมษายน 2018)
เกมในเลกที่ 2 ของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม เต็มไปด้วยดรามาไล่เรียงตั้งแต่ประตูเบิกร่องอย่างรวดเร็วของ กาเบรียล เชซุส, ประตูของ ซิตี้ ที่ถูกปฎิเสธจากการฟาวล์ใส่ผู้รักษาประตู และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับ ซาดิโอ มาเน พังประตูดับฝัน ซิตี้ ทะลุสู่นัดชิงชนะเลิศสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล อกหักในเกมไฟนอลเมื่อปราชัยต่อ เรอัล มาดริด กับฝันร้ายของ ลอริส คาริอุส
15. ลิเวอร์พูล 0-0 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (7 ตุลาคม 2018)
ดรามาในซีซันถัดมาในช่วงทดเวลาบาดเจ็บที่ ริยาด มาห์เรซ พลาดจุดโทษทำให้เกมลงเอยด้วยผลเสมอแบบไร้สกอร์ใน แอนฟิลด์
16. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-1 ลิเวอร์พูล (3 มกราคม 2019)
ชัยชนะของ แมนฯ ซิตี้ ที่นำพาไปสู่การคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก สำหรับฤดูกาล 2018/19 นับเป็นหนึ่งในแมตช์ที่ตึงเครียดที่สุดเกมหนึ่งในประวัติศาสตร์การพบกันของทั้ง 2 ผู้จัดการทีม
เกมออกสตาร์ทด้วยการเคลียร์บอลจากเส้นประตูของ จอห์น สโตนส์ ก่อน เซร์คิโอ อเกวโร จะสังหารเบิกร่อง
หงส์แดง ตีเสมอจาก โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน ก่อนที่ เลรอย ซาเน จะยิงประตูชัยให้กับเจ้าถิ่น
17. ลิเวอร์พูล 1-1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (PK 4-5) (4 สิงหาคม 2019)
ระเบิดศึกก่อนหน้าซีซัน 2019/20 จะเริ่มต้นขึ้นกับการพบกันใน คอมมูนิตี้ ชิลด์ ที่ลงเอยด้วยผลเสมอใน 90 นาทีที่ 1-1 เมื่อ โจเอล มาติป ตามตีเสมอ ซิตี้ ที่ได้ประตูจาก ราฮีม สเตอร์ลิง สำเร็จ ก่อนที่ เรือใบสีฟ้า จะเข้าป้ายในการดวลลูกจุดโทษเมื่อ เคลาดิโอ บราโบ เซฟลูกยิงของ จินี ไวนัลดุม ตัดสินเกม
18. ลิเวอร์พูล 3-1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (10 พฤศจิกายน 2019)
ในฤดูกาลที่ ลิเวอร์พูล เข้าป้ายคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก หนึ่งในเกมที่สำคัญของพวกเขาคือการคว่ำ แมนฯ ซิตี้ 3-1 ในเดือนพฤศจิกายน
ฟาบินโญ สังหารประตูแรกให้ หงส์แดง ก่อนที่ โม ซาลาห์ กับ มาเน จะใส่อีก 2 สกอร์ให้ทีมเข่น ซิตี้ แม้ว่า แบร์นาร์โด้ จะยิงประตูปลอบใจให้ เรือใบ ช่วงท้าย
19. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4-0 ลิเวอร์พูล (2 กรกฎาคม 2020)
กว่าที่ทั้ง 2 ทีมจะโคจรมาพบกันอีกครั้ง สถานะแชมป์ พรีเมียร์ลีก ก็ตกเป็นของ ลิเวอร์พูล เป็นที่เรียบร้อย
เกมนี้ ซิตี้ เอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 4-0 จากประตูของ เควิน เดอ บรอยน์, ราฮีม สเตอร์ลิง, ฟิล โฟเด้น และการทำเข้าประตูตัวเองโดย อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน
20. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-1 ลิเวอร์พูล (8 พฤศจิกายน 2020)
การพบกันครั้งแรกของซีซัน 2020/21 มีดรามาเป็นลูกจุดโทษที่ตัดสินเกม
ซาลาห์ ซัดจุดโทษให้ทีมของ คล็อปป์ ขึ้นนำก่อนที่ กาเบรียล เชซุส จะยิงประตูตีเสมอโดย ซิตี้ มาได้ลูกจุดโทษในช่วงท้ายครึ่งแรกแต่ เดอ บรอยน์ กลับยิงหลุดกรอบไปอย่างไม่น่าเชื่อ
21. ลิเวอร์พูล 1-4 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (7 กุมภาพันธ์ 2021)
ไม่บ่อยครั้งนักที่การพบกันระหว่าง เป๊ป-คล็อปป์ กระทั่ง แมนฯ ซิตี้-ลิเวอร์พูล จะลงเอยด้วยชัยชนะขาดลอยของฝั่งใดฝั่งหนึ่ง แต่ หงส์แดง ที่อยู่ในสถานะแข้งคีย์แมนเจ็บระนาวสุดปัญญาที่จะต้านทานความร้อนแรงของ เรือใบสีฟ้า ในเกมนี้ได้
ฟาบินโญ กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เป็นคู่เซ็นเตอร์แบ็คของ คล็อปป์ ถูก อิลคาย กุนโดกัน เจาะทำประตูเบิกร่อง
แม้ โม ซาลาห์ จะตามตีเสมอสำเร็จในอีกไม่กี่อึดใจถัดมาจากลูกจุดโทษแต่ประตูต่อมาของ กุนโดกัน, ราฮีม สเตอร์ลิง และลูกปิดท้ายโดย ฟิล โฟเด้น ทำให้ ซิตี้ เข้าป้ายคว้าชัยก่อนซิวแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลดังกล่าว ขณะที่ ลิเวอร์พูล จบซีซันด้วยอันดับที่ 3
22. ลิเวอร์พูล 2-2 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (3 ตุลาคม 2021)
การดวลกันยกแรกของฤดูกาล 2021/22 เกมเป็นไปอย่างสุดมันส์ไล่เรียงตั้งแต่ประตูเบิกร่องของ ซาดิโอ มาเน ก่อน ฟิล โฟเด้น จะตามตีเสมอ
ซาลาห์ ยิงด้วยขวาให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำอีกครั้งแต่ เดอ บรอยน์ ก็มาตามตีเสมอให้กับทีมก่อนหมดเวลาไม่กี่อึดใจ