จิมมี ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์: ตามรอย 1 ในท็อป 20 ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาล พรีเมียร์ลีก
โดย โตมร นวลประเสริฐ
จิมมี ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ อดีตแข้ง ลีดส์ ยูไนเต็ด, เชลซี, มิดเดิลสโบรห์ และ ชาร์ลตัน แอธลเติก ในศึก ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ มีชื่อเป็นผู้ทำประตูในลีกสูงสุดติดท็อป 20 อันดับแรก
ฮัสเซลเบงค์ รั้งอันดับที่ 14 ในตารางดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของ พรีเมียร์ลีก จากสถิติ 127 ประตู
90min พาผู้อ่านตามรอยเส้นทางการค้าแข้งของหนึ่งในหัวหอกที่ดีที่สุดในลีกสูงสุดแดนผู้ดี เจ้าของสถิติ 1 ใน 20 ดาวซัลโวสูงสุดแห่งลีก อังกฤษ
เส้นทางในฐานะแข้งดาวรุ่ง
จิมมี ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ เริ่มตั้งไข่ในเส้นทางฟุตบอลกับสโมสรใน เนเธอร์แลนด์ อย่าง เทลสตาร์ ในลีกเทียร์ 2 ของ เนเธอร์แลนด์ ต่อด้วย อาแซด อัล์คมาร์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จนักจนถูกปล่อยตัวให้กับ คัมโปไมยอเรนเซ ในลีกสูงสุดของ โปรตุเกส เมื่อเจ้าตัวอายุได้ 23 ปีและเป็นสโมสรแห่งนี้ที่ ฮัสเซลเบงค์ เริ่มต้นฉายแววเพชฌฆาตกับสถิติพังประตู 12 ลูกจาก 34 นัดในซีซันเดบิวต์
แจ้งเกิดเต็มตัว
ฮัสเซลเบงค์ ย้ายซบตัก เบาวิสต้า ทันทีหลังจบฤดูกาลแรกของตนเองกับ คัมโปไมยอเรนเซ เขาผนึกกำลังในแดนหน้าเคียงข้างกับ นูโน โกเมส ในวัย 19 ปีตะบันประตูรวมกันในลีก 35 ลูก (ฮัสเซลเบงค์ 20 ประตู และ โกเมส 15 ประตู) โดยคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วย ทาคา เดอ ปอร์ตูกัล
ผลงานดังกล่าวของกองหน้าชาว ดัตช์ ไปเตะตา จอร์จ เกรแฮม ผู้จัดการทีมของ ลีดส์ ยูไนเต็ด ก่อนที่ทัพ ยูงทอง จะทุ่มเงินมูลค่า 2 ล้านปอนด์คว้าตัว ฮัสเซลเบงค์ ไปร่วมทัพ แม้จะมีปัญหาในการปรับตัวในครึ่งแรกของฤดูกาล 1997/98 บนลีกแดนผู้ดีกับสถิติซัลโวเพียง 5 ประตูก่อนคริสต์มาสแต่เจ้าตัวก็สามารถเร่งเครื่องผลิตสกอร์เมื่อรวมทุกรายการได้ถึง 26 ประตูเมื่อจบซีซัน
ฤดูกาลถัดมากับทัพ ยูงทอง ภายใต้การคุมทัพของ เดวิด โอเลียรี เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมในการพา ลีดส์ จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 4 ซิวตั๋ว ยูฟ่า คัพ รวมทั้งเป็นดาวซัลโวสูงสุดของลีกร่วมกับ ไมเคิล โอเวน และ ดไวท์ ยอร์ค ที่ 18 ประตู ทว่าการเรียกค่าเหนื่อยที่ต้นสังกัดไม่อาจจ่ายไหวทำให้ ลีดส์ ต้องปล่อยตัวเขาสู่ แอตเลติโก มาดริด ด้วยมูลค่าราว 10 ล้านปอนด์
ที่ทัพ ตราหมี ภายใต้การคุมทีมของ เคลาดิโอ รานิเอรี แม้เป้าหมายของทีมจะสูงลิ่วอย่างการพาทีมคว้าตั๋ว ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่ด้วยผลงานที่ตกต่ำทำให้นายใหญ่ชาว อิตาลี แยกทางกับทีมตั้งแต่กลางฤดูกาล แต่ถึงอย่างนั้น ฮัสเซลเบงค์ ยังทำสถิติจบฤดูกาลด้วยการคว้ารองดาวซัลโว ลา ลีกา ที่ 24 ประตู น้อยกว่าดาวซัลโวสูงสุด ซัลบา บาลเยสต้า ของ ราซิง เพียง 3 ประตูเท่านั้น แต่ก็ไม่อาจช่วยให้ แอต. มาดริด รอดพ้นจากการตกชั้นไปได้ ทำให้เงื่อนไขไฟเขียวให้ ฮัสเซลเบงค์ ย้ายทีมเกิดขึ้นในซัมเมอร์ดังกล่าวทันที และกลายเป็นสโมสรถัดไปของเจ้าตัวที่ให้เขากลายเป็นที่จดจำจนถึงทุกวันนี้
จุดพีคกับ เชลซี
ฮัสเซลเบงค์ รีเทิร์นสู่ พรีเมียร์ลีก อีกครั้งในซัมเมอร์ปี 2000 ด้วยมูลค่าราว 15 ล้านปอนด์ นับเป็นดีลการย้ายทีมมูลค่าสูงสุดของลีกเทียบเท่ากับมูลค่าที่ นิวคาสเซิล จ่ายให้กับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในการคว้า อลัน เชียเรอร์ เมื่อปี 1996 และกลายเป็นคีย์แมนให้กับ สิงห์บลู ทันทีนับตั้งแต่ซีซันเดบิวต์ในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ พกสถิติ 23 ประตูจากทั้งหมด 35 เกมลีกและกลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดของ พรีเมียร์ลีก ทันที
ฮัสเซลเบงค์ ยืนระยะความร้อนแรงได้ต่อเนื่องในซีซันถัดมากับสถิติ 23 ประตูในลีกเท่าเดิม แม้เขาจะเป็นรองดาวซัลโวเมื่อสังหารประตูน้อยกว่า เธียร์รี อองรี เพียง 1 ประตูเท่านั้น
หลังจากนั้น อาการบาดเจ็บที่แฮมสตริงในช่วงซัมเมอร์ทำให้ฟอร์มของเขาในฤดูกาลที่ 3 กับ เดอะบลูส์ ดร็อปลงไปจากเดิม พร้อมกับที่ เคลาดิโอ รานิเอรี จัดทัพเน้นการโรเตชันทำให้เขาต้องหมุนเวียนกับ จานฟรังโก้ โซลา ลงสนาม ขณะที่ปีการแข่งขันถัดมา แม้ทีมจะคว้าตัวกองหน้าอย่าง เอเดรียน มูตู กับ เอร์นัน เครสโป แต่เขาก็ยังเป็นดาวยิงสูงสุดของสโมสรในฤดูกาลที่ 4 ที่ 17 ประตูเมื่อรวมทุกรายการ
ฮัสเซลเบงค์ บอกลา เชลซี ในซัมเมอร์ 2004 ยุติสถิติการยิงประตูให้กับ สิงห์บลู 87 ลูกจาก 177 นัดเมื่อรวมทุกรายการ
ปลายทางการค้าแข้ง
ฮัสเซลเบงค์ บอกลา สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในวัย 32 ปีโดย มิดเดิลสโบรห์ เป็นสโมสรถัดมาของเจ้าตัวภายใต้การย้ายทีมแบบไร้ค่าตัว พา โบโร่ จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 7 ในฤดูกาลแรกคว้าตั๋วไปเล่นในรายการ ยูฟ่า คัพ กับสถิติ 13 ประตูจาก 36 เกมลีก
เขาพา มิดเดิลสโบรห์ เข้าชิง ยูฟ่า คัพ ในฤดูกาลถัดมาแม้จะปราชัยต่อ เซบียา ในนัดชิงชนะเลิศ 4-0 พร้อมซัลโวในลีกอีก 9 ประตูจาก 22 เกม ก่อนที่เขาจะย้ายไปซบตัก คาร์ดิฟฟ์ ใน แชมเปี้ยนชิพ หลังจบซีซัมดังกล่าวแบบไร้ค่าตัว
ความคุ้นเคยกับ ปีเตอร์ ริดส์เดล ประธานสโมสร คาร์ดิฟฟ์ ที่เคยร่วมงานกันมาในทีม ลีดส์ ทำให้เขาเลือก คาร์ดิฟฟ์ เป็นทีมสุดท้ายโดยได้ประสานงานร่วมกับ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ที่แดนหน้าพาทีมเข้าชิงชนะเลิศศึก เอฟเอ คัพ ในซีซันดังกล่าวแม้จะปราชัยต่อ พอร์ทสมัธ 0-1
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น!*ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด