ฟูแล่ม - มิโตรวิช อีกครั้งกับภารกิจเพื่อความอยู่รอด - FEATURE

Fulham FC v Brentford FC - Premier League
Fulham FC v Brentford FC - Premier League / Eddie Keogh/GettyImages
facebooktwitterreddit

อเล็กซานด้า มิโตรวิช (28 ปี สัญญาถึงกลางปี 2026 กับฟูแล่ม) ทำแฮตทริคที่สองในชีวิตการเล่นทีมชาติเซอร์เบียได้ในเกมล่าสุดกับ สวีเดน แต่เป็นครั้งแรกที่เขาทำแฮตทริคในเกมแข่งขันอย่างเป็นทางการ หลังจากครั้งแรกที่เขาทำได้เป็นเกมอุ่นเครื่องในการพบกับ โบลิเวีย รั้งตำแหน่งดาวยิงสูงสุดของประเทศต่อไปกับการลงเล่น 74 เกม 49 ประตู

เซอร์เบีย อยู่ในช่วงพัฒนาต่อเนื่องของวงการฟุตบอล หลังจากที่ประเทศแห่งนี้ผ่านการแยกตัวมาหลายครั้ง และในครั้งล่าสุดที่พวกเขาแยกตัวจากมอนเตเนโกรในปี 2006 เป็นต้นมา แม้จะยังไม่เคยไปเล่นในทัวร์นาเมนต์ยูโรเลยสักครั้งในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา แต่กับฟุตบอลโลกพวกเขา เข้ารอบสุดท้าย 3 จาก 4 ครั้งหลังสุด ซึ่งรวมถึงปลายปีนี้จะมีพวกเขาเฉิดฉายอยู่ด้วย

ภายใต้การทำงานของ ดราแกน สตอยโควิช อดีตกองกลางคนดังในยุคที่ยังคงเป็นประเทศยูโกสลาเวีย และเคยเป็นลูกทีมของอาร์แซน เวนเกอร์ มาช่วงหนึ่งด้วยสมัยเล่นฟุตบอลในเจลีก กับ นาโกย่า แกรมปัส เอต เซอร์เบีย ของกุนซือวัย 57 ปี ยังทำผลงานได้ดี พวกเขาลงเล่นไป 19 เกม ชนะ 12 เสมอ 4 แพ้ 3 และพร้อมแล้วกับการลุยฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ขณะที่ เนชั่นส์ ลีก กำลังไปได้ดี และมีเกมสำคัญในเกมสุดท้ายกับนอร์เวย์ ว่าพวกเขาจะลุ้นเลื่อนชั้นไปเล่นในลีกเอ หรือไม่ในฤดูกาลต่อไป

Aleksandar Mitrovic
Serbia v Sweden: UEFA Nations League - League Path Group 4 / Srdjan Stevanovic/GettyImages

มิโตรวิช ชื่อนี้เป็นชื่อคุ้นหูแฟนบอลมาตลอดเกือบ 1 ทศวรรษที่ผ่านมา เด็กหนุ่มที่โชคดีในเรื่องของฟุตบอล กับการลงเล่นทั้งกับ ปาร์ติซาน เบลเกรด และนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด สองทีมที่เขาเชียร์มาตั้งแต่เด็ก เข้ามาสร้างชื่อในอังกฤษ เมื่อเลือกย้ายมาเล่นกับ นิวคาสเซิ่ล เช่นเดียวกับ อลัน เชียเรอร์ ไอดอลของเขาลงเล่นมาก่อนหน้านี้ น่าเสียดายที่ช่วงเวลาของเขาในวัย 21 ปีเมื่อย้ายมา มันน้อยนิดไปหน่อย แม้จะเป็นที่รักของแฟนบอล แต่สุดท้ายด้วยผลงาน ด้วยความ “หัวร้อน” ในช่วงวัยรุ่นที่ทำให้เขาโดนไล่ออกกับการควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ สุดท้ายเขาถูก ราฟาเอล เบนิเตซ ปล่อยออกจากทีมด้วยความเต็มใจของเขาที่ต้องการลงเล่นมากกว่านั่งข้างสนาม มกราคม 2018 เขายอมลดระดับไปเล่นในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ กับ ฟูแล่ม ที่สุดท้ายกลับมาสู่พรีเมียร์ ลีก พร้อมกับการเซ็นสัญญาซื้อขาดกับเขาในที่สุด

"หากมีคำพูดที่ว่าการคว้าอันดับหนึ่งนั้นง่าย การรักษาอันดับหนึ่งไว้ให้ได้นั้นยากกว่า ฟูแล่มก็คงต้องเปลี่ยนมาเป็นว่า การขึ้นชั้นว่ายากแล้ว การรอดพ้นการตกชั้นนั้นยากกว่า เพราะสถิติตลอด 5 ปีหลังสุดของพวกเขามันบอกแบบนั้น"

ฟูแล่ม เป็นหนึ่งในทีมที่มักถูกพูดถึงความไม่พอดีของสโมสรแห่งนี้ในเรื่องผลงาน พวกเขาเป็นทีมที่โคตรดีสำหรับเดอะ แชมเปี้ยนชิพ แต่ดันดีไม่พอสำหรับพรีเมียร์ ลีก นับจากฤดูกาล2018-2019 มาถึงวันนี้ 5 ปี พวกเขาเล่นพรีเมียร์ ลีก 3 ครั้ง เดอะ แชมเปี้ยนชิพ 2 ครั้ง การลงทุนของพวกเขาด้วยเงินของ ซาอิด ข่าน เจ้าของสโมสรชาวอเมริกันเชื้อสายอิหร่านที่ควบตำแหน่งประธานสโมสร ที่ยังคงหวังเห็นฟูแล่มของเขาไปเล่นฟุตบอลยุโรปให้ได้อีกครั้ง เหมือนที่ช่วงทศวรรษก่อนทีมนี้เคยไปถึงรอบชิงชนะเลิศยูโรป้า ลีกมาแล้ว

มิโตรวิช เคยสัมภาษณ์เกี่ยวกับเส้นทางอาชีพของตนเองว่า แน่นอนล่ะ ไม่มีใครอยากเป็นแบบเขาหรอกที่ต้องเล่นในลีกรอง และลีกสูงสุดสลับไปมาแบบนี้ การตกชั้นเป็นสิ่งที่เจ็บปวดวันสุดท้ายของฤดูกาลที่บางปีก็ฉลองกันสุดเหวี่ยง ขณะที่ปีต่อมาต้องมาปรบมือปลอบใจแฟนบอลว่าพวกเขาต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกแล้ว เขาได้รับข้อเสนอหลายต่อหลายครั้งในการย้ายทีม แต่สุดท้ายเขาก็เลือกไม่ไปไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูกาล 2020-2021 ที่ทีมตกชั้น เขากลับเลือกสวนทางการตกชั้นด้วยการต่อสัญญาใหม่กับทีม

Aleksandar Mitrovic
Tottenham Hotspur v Fulham FC - Premier League / Clive Rose/GettyImages

“มันก็ง่าย ๆ นะ ผมเลือกต่อสัญญาเพราะผมรักในทีมนี้ ผมรักทำงานร่วมกับคนในสโมสร ครอบครัวผมมีความสุขมากกับชีวิตในลอนดอน มันไม่มีเหตุผลที่ผมจะย้ายออก ผมเจอความสุขแล้วที่นี่”

“ตอนผมย้ายมาเล่นในอังกฤษกับนิวคาสเซิ่ล ผมเจอกับการปรับตัวครั้งใหญ่มาก พรีเมียร์ ลีกคือลีกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ผมต้องเรียนรู้อะไรมากมาย และตอนนั้นผมยังเด็กมาก มันโคตรยากเลยล่ะในการเล่นให้ดีในลีกนี้ ผมอาจมีปีแรกที่น่าพอใจ (แม้ทีมจะตกชั้น) แต่ปีต่อมามันกลับยากกว่าเดิมมาก สุดท้ายกลายเป็นว่าผมต้องออกจากทีม เพราะผมไม่ได้ลงเล่นเล่นเลย และการมาฟูแล่ม ผมได้โอกาสที่ว่านั้น และนั่นคือเหตุของการต่อสัญญา”

มิโตรวิช ก็ไม่ต่างจากฟูแล่ม เขาถูกประเมินจากหลายคนว่า เก่งเฉพาะในลีกรอง ไม่ดีพอสำหรับลีกสูงสุด เพราะฤดูกาลนี้นับเป็นการเข้าสู่ปีที่ 8 เขาเป็นนักเตะเพียงคนเดียวในรอบ 8 ปีทั้งกับนิวคาสเซิ่ล และฟูแล่ม ที่เล่นในพรีเมียร์ ลีก กับ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ สลับกันปีละครั้ง เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง วนแบบนี้มา 4 รอบเข้าไปแล้ว เช่นเดียวกับจำนวนตัวเลขในการยิงประตูของเขา เมื่ออยู่ในลีกรอง เทียบไม่ได้เลยกับในพรีเมียร์ ลีก แต่นั่นคือสิ่งที่เขากำลังพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง และคีย์หลักในการทำงานของเขาคือ มาร์โก ซิลวา ผู้จัดการทีมที่เข้ามาในปีที่แล้ว ซึ่งต่างฝ่ายทาง “คลิ๊ก” ซึ่งกันและกันตั้งแต่ครั้งแรกที่พูดคุยกัน และทำให้ มิโตรวิช สร้างสถิติที่น่าสะพรึ่งกลัวในปีที่แล้ว กับการยิง 43 ประตู ใน 44 เกมของเดอะ แชมเปี้ยน ชิพ ที่เขาลงเล่นในฤดูกาลที่แล้ว

“ตอนผมเซ็นสัญญากับ ฟูแล่ม คนแรกที่ผมโทรหาคือ มิโตรวิช ผมอยากคุยกับเขา เพราะเขาจะเป็นตัวหลักในทีมของผม มันเป็นการสนทนาที่ชัดเจนระหว่างความต้องการของผม สิ่งที่เขาต้องการ แผนการทำทีม ปรัชญาที่ผมอยากได้ และแน่นอน ผมอยากได้เขาในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดในสนามฟุตบอล มันเหมือนกับการท่าคุณต้องการสนับสนุนใครสักคน คุณต้องสนับสนุนเขาทุกช่วงเวลา และในเวลาเดียวกันคุณก็ต้องกล้าจะเรียกร้องในตัวเขาให้มากกว่าเดิมด้วย แน่นอนเพื่อนร่วมทีม และครอบครัวก็ช่วยเขาด้วยเต็มที่ มันเป็นเรื่องที่ดีเลยล่ะสำหรับเขา” มาร์โก ซิลวา กล่าว

marco silva
Fulham FC v Brighton & Hove Albion - Premier League / Chloe Knott - Danehouse/GettyImages

ผ่านไป 7 เกมในพรีเมียร์ ลีก ฟูแล่มเริ่มต้นได้ดี พวกเขาอยู่ในกลุ่มกลางตาราง ส่วน มิโตรวิช ทำได้ถึง 6 ประตู กลายเป็นรองดาวซัลโวสูงสุดของลีก ด้วยสไตล์การเล่นที่เน้นสรีระเป็นจุดเด่น และมีลูกยิงทรงพลัง เป็นจุดขายมาแต่ไหนแต่ไร แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือการควบคุมอารมณ์ของเขาที่ดีขึ้นตามวัยวุฒิที่มากขึ้น บวกกับการเสริมทัพของฟูแล่มในปีนี้ ทำได้น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการได้ตัว อันเดรียส เปย์เรร่า กองกลางบราซิลจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ระบุเลยว่าย้ายมาที่นี่ เพราะมั่นใจใน มาร์โก ซิลวา ซึ่งติดตามผลงานเขามาตลอดสองปี และการที่ฟูแล่มมีกองหน้าอย่าง มิโตรวิช อยู่ในทีม

การเสริมทีมในฤดูกาลนี้ของฟูแล่มพวกเขาเสริมทีมทั้งหมด 12 คน อาจจะดูมากในแง่จำนวน แต่หากมองไปถึงการใช้งานพวกเขามีทางเลือกพร้อมใช้เพียง 7 คนเท่านั้น ที่เหลือคือการเซ็นสัญญาเพื่ออนาคตของทีมทั้งสิ้น และหากมองลึกไปถึง 7 คนดังกล่าว เกินครึ่งเป็นนักเตะที่อยากได้ “โอกาส” ในการลงเล่นพื่อพิสูจน์ตัวเอง แบนด์ เลโน่, อิสซ่า ดิย็อป, อันเดรียส เปย์เรร่า สามคนนี้คือสำรองของสโมสรเดิมทั้งสิ้น ขณะที่ เควิน เอมบาบู, เจา ปัลฮินญ่า, คาร์ลอส วินิซิอุส และ วิลเลี่ยน สามในสี่คนผ่านประสบการณ์ในพรีเมียร์ ลีกมาแล้ว และล้มเหลวมาก่อนด้วยกันทั้งหมด (วิลเลี่ยนล้มเหลวกับการเล่นให้กับอาร์เซนอล) ส่วน ปัลฮินญ่า นี่คือความท้าทายใหม่ของเขากับพรีเมียร์ ลีก และกลายเป็นตัวหลักของทีมเพียงคนเดียวที่ไม่เคยเล่นในพรีเมียร์ ลีกมาก่อน

2022-2023กลายเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญสำหรับสโมสรแห่งนี้ สโมสรที่รวบรวมนักเตะที่ต้องการโอกาสได้พิสูจน์คุณค่า และมาตรฐานของตนเองกับพรีเมียร์ ลีก ลีกที่ได้ชื่อว่าเล่นยากที่สุดแห่งหนึ่งในโลกฟุตบอล